วันพฤหัสบดีที่ 27 สิงหาคม พ.ศ. 2563

Guide Me Please

    ขั้นตอนการเตรียมตัวก่อนการปฏิบัติหน้าที่ของมัคคุเทศก์

    กลับมาพบกันใหม่อีกครั้งกับบล็อกให้ความรู้เกี่ยวกับการเป็นมัคคุเทศก์นะคะ หลังจากที่บล็อกเกี่ยวกับมัคคุเทศก์คราวที่แล้วที่เราพูดถึงเรื่องของเทคนิคการนำทัวร์ที่ดีของมัคคุเทศก์ มาคราวนี้นะคะเราจะมาพูดถึงเรื่องการเตรียมตัวก่อนการทำงานของมัคคุเทศก์กันค่ะ และเพื่อให้ไม่เป็นการเสียเวลาเรามาเริ่มกันเลย💕

     มัคคุเทศก์นั้นเป็นบุคคลที่มีความสำคัญต่ออุตสาหกรรมท่องเที่ยว ในฐานะเป็นผู้เชื่อมโยงความเข้าใจอันดีระหว่างนักท่องเที่ยวและแหล่งท่องเที่ยวและยังมีหน้าที่ในการดูแลนักท่องเที่ยวระหว่างปฏิบัติหน้าที่ด้วย  ดังนั้นมัคคุเทศก์จึงควรรู้จักบทบาทและหน้าที่ที่ตนต้องปฏิบัติและเตรียมตัวในการทำงานเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพและความเรียบร้อยและความประทับใจจากนักท่องเที่ยวได้อย่างดีที่สุด

   👉 1.ขั้นตอนการเตรียมตัวก่อนการปฏิบัติหน้าที่👈

1.1 ศึกษาหาความรู้ในด้านต่าง ๆ อยู่เสมอเพื่อเท่าทันเหตุการณ์

1.2 ศึกษากิจการของบริษัทนำเที่ยว เนื่องจากมัคคุเทศก์เป็นบุคคลที่ทำหน้าที่อำนวยความสะดวกในการนำเที่ยวและแก้ไข้ปัญหาเฉพาะหน้าแทนบริษัทนำเที่ยวการรู้จักบริษัทกิจการนำเที่ยวจะเป็นการดีหากเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันเราสามารถแก้ไข้ปัญหาให้ตรงจุด

1.3 สร้างความสัมพันธ์อันดีกับบริษัทนำเที่ยวที่ตนสังกัดอยู่และบุคคลอื่นที่เกี่ยวข้อง เนื่องจากมัคคุเทศก์เป็นผู้สร้าชื่อเสียงและคอยโฆษณา ประชาสัมพันธ์ให้กับบริษัทนำเที่ยวที่ตนสังกัดให้นักท่องเที่ยวทราบการมีความสัมพันธ์อันดีกับสถานประกอบการที่เกี่ยวข้องอย่างโรงแรม ร้านอาหาร แหล่งท่องเที่ยว ร้านค้าที่ระลึก บริษัทรถ บริษัทนำเที่ยวอื่น ๆ นั้นเราจะสามารถรักษาผลประโยชน์ของบริษัทและนักท่องเที่ยวเอาไว้ได้ไม่ให้ถูกเอาเปรียบ

   👉2. การรับมอบหมายงานจากบริษัทนำเที่ยว👈

    - โดยปกติแผนกปฏิบัติการ (Operation) ของบริษัทนำเที่ยวจะเป็นผู้พิจารณาแต่มัคคุเทศก์ที่มีความมั่นใจว่ามีประสบการณ์ก็สามารถเสนอตัวได้

    - สำหรับข้อมูลต่าง ๆ มัคคุเทศก์จำเป็นต้องรับทราบและเข้าใจให้ถี่ถ้วนเมื่อได้รับมอบหมายจากบริษัทและไม่ควรมาถามรายละเอียดอีกและรายละเอียดที่ได้รับจากบริษัทก็มี ดังนี้

    👍2.1 การรับมอบหมายจากบริษัทนำเที่ยว

    - รายละเอียดของใบงาน (Job Order or Tour Order)

    - จำนวนและข้อมูลส่วนตัวนักท่องเที่ยว

    - รายการนำเที่ยวฉบับสมบูรณ์ เช่น วันและเวลาในการเดินทาง ยานพาหนะที่ใช้ในการเดินทางในแต่ละที่ สถานที่พักแรม ร้านอาหาร สถานที่ท่องเที่ยวและร้านขายของที่ระลึก

    - รายละเอียดของการชำระค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ในระหว่างการนำเที่ยว

    - เอกสารและอุปกรณ์ที่ต้องใช้ในระหว่างการปฏิบัติหน้าที่

    - นโยบายของบริษัทในกรณีที่เกิดปัญหาหรือเหตุการณ์ที่ผิดปกติขึ้น

    3. การตรวจสอบเอกสาร การจัดเตรียมอุปกรณ์และการเตรียมตัวปฏิบัติงาน

        สำหรับการนำเที่ยวออกนอกประเทศ (Outbound Tour) จำเป็นต้องตรวจสอบเอกสารเดินทางเพิ่มเติม ดังนี้

      -  บัตรโดยสารเครื่องบินของนักท่องเที่ยว

      - แบบฟอร์มการเข้า-ออกประเทศ (Immigration Form) และแบบฟอร์มการแจ้งรายการสิ่งของต่อศุลกากร (Custom Declaration Form) ของประเทศที่จะเดินทางไป

      - หนังสือเดินทาง Passport ของนักท่องเที่ยว

    3.1 การจัดเตรียมอุปกรณ์นำเที่ยว โดยมีอุปกรณ์ที่จำเป็นดังต่อไปนี้

      -  ป้ายชื่อหรือสติกเกอร์ติดกระเป๋า (Tag) สำหรับติดกระเป๋าของนักท่องเที่ยวหรือริบบิ้นติดกระเป๋าสีสดใสผูกติดไว้ที่กระเป๋านักท่องเที่ยว

       ป้ายชื่อนักท่องเที่ยวสำหรับให้นักท่องเที่ยวติดตัว

      - สิ่งของกระจุกกระจิกสำหรับการให้บริการและอำนวยความสะดวกต่อนักท่องเที่ยว เช่น กระติกน้ำ แก้วน้ำเสิร์ฟน้ำ เครื่องดื่มต่าง ๆ หรือถุงขยะ ผ้าเย็น กระดาษชำระ เป็นต้น

      - ยาสามัญประจำบ้านทั่วไป เช่น ยาหม่อง ยาแก้ปวดศีรษะ ปวดท้อง ยาแก้ท้องเสีย เป็นต้น รวมถึงของใช้ส่วนตัวอย่าง เช่น ด้าย เข็ม อุปกรณ์หลาย ๆ อย่างถึงแม้บางโรงแรมหรือในแหล่งที่ไปจะมีให้หรือหาได้ง่าย มัคคุเทศก์ก็ควรเตรียมไปเองด้วยเผื่อฉุกเฉินระหว่างทาง

      - อาหารว่างอย่างของขบเคี้ยวก็ควรเตรียมเอาไว้เผื่อลูกทัวร์หิวขณะเดินทาง

      - เตรียมอุปกรณ์สันทนาการเกมต่าง ๆ และของรางวัลเพื่อเตรียมแจก

    3.2 การเตรียมตัวปฏิบัติงาน

    -  การเตรียมตัวด้านข้อมูล ให้เตรียมตัวการประสานงานไว้ให้ดีโดยเแพาะหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการสถานที่ที่จะไป เช่น กองอุทยานแห่งชาติ ป่าไม้ ติดต่อที่พักแรมและการนำชม,กรมศิลปากร ก็จะเป็นสถานที่ท่องเที่ยวทางโบราณคดีแหล่งท่องเที่ยวทางประวัติศาสตร์, กรมทางหลวง ตำรวจการท่องเที่ยว บริษัทประกันภัย

    3.3 การเตรียมตัวเองของมัคคุเทศก์

    -  ในด้านความเป็นส่วนตัว การเตรียมตัวของมัคคุเทศก์ คสรเตรียมเสื้อผ้าให้พอใช้และเหมาะสมกับสถานที่ที่ไป เครื่องแต่งกายต้องสะอาด สุภาพ ควรนำนาฬิกาปลุกติดตัวไปด้วยเพื่อเอาไว้ตั้งเวลาในการเตรียมความพร้อม

    - มัคคุเทสก์ควรพักผ่อนให้เพียงพอก่อนออกปกิบัติงานและเตรียมจิตใจให้พร้อมที่จะเผชิญกับงานข้างหน้า

    - เตรียมค่าใช้จ่ายส่วนตัวให้พร้อมเพราะบางครั้งอาจมีสาเหตุจำเป็นที่ต้องใช้จ่ายเกินกว่าที่บริษัทกำหนด

    จากที่กล่าวไปนั้นล้วนเป็นสิ่งที่มัคคุเมศก์ที่ดีควรมีและควรรู้ทั้งสิ้นเพราะจะช่วยให้เกิดการบริการที่ดี เพราะในปัจจุบันการแข่งขันมีสูงมาก การแข่งขันในด้านบริการจึงเป็นจุดสำคัญที่จะทำให้ทั่วเกิดการได้รับความไว้วางใจจากผู้ใช้บริการกลับมาใช้บริการอีกไม่รู้จบ


อ้างอิงข้อมูลจาก

http://www.elfhs.ssru.ac.th/chantouch_wa/pluginfile.php/440/.สืบค้นเมื่อวันที่ 27 สิงหาคม 2563.

    

    


    

วันอังคารที่ 25 สิงหาคม พ.ศ. 2563

วัดเฉินก๊วก (Trấn Quốc) เสน่ห์วัดโบราณ

             ประเทศเวียดนามเป็นหนึ่งในประเทศตะวันออกเฉียงใต้ที่มีอารยธรรมและสถานที่ทางประวัติศาสตร์อันเก่าแก่มากมายที่น่าศึกษาและท่องเที่ยว วัดเฉินก๊วกก็เป็นหนึ่งในความน่าสนใจที่สะท้อนให้เห็นประวัติศาสตร์อันยาวนานของเวียดนามได้ดี โดย ณ วัดเฉินก๊วกแห่งนี้มีเจดีย์อันเก่าแก่อย่างเจดีย์เฉินก๊วกที่มีอายุมากกว่า 1,500 ปีมาแล้วประดิษฐานอยู่
              สำหรับวัดเฉินก๊วก (Trấn Quốc) เป็นวัดที่มีบริเวณที่ตั้งอยู่ติดกับทะเลสาปโฮไตของเมืองฮานอยประเทศ เวียดนามวัดแห่งนี้ถือได้ว่าเป็นสัญลักษณ์ทางพระพุทธศาสนาเนื่องจากมีเจดีย์เฉินก๊วกที่ได้รับการสักการะและเคารพด้านความเก่าแก่ด้วยอายุเกือบ 1,500 ปีตั้งอยู่ เจดีย์นี้ก่อสร้างขึ้นในช่วงศตวรรษที่ 14 โดยจักรพรรดิ์ Le Guy Tong  แต่เดิมมีชื่อเรียกว่า "Khai Quec" โดยมีลักษณะของเจดีย์ที่มีการผสมผสานกันอย่างลงตัวระหว่างสถาปัตยกรรมจีนและเวียดนามมีความสูงของเจดีย์อยู่ที่ 15 เมตรและมีทั้งหมด 11 ชั้นแต่ละชั้นจะมีช่องหน้าต่างอันเป็นที่ประดิษฐานของประติมากรรมพระพุทธรูป อมิตาพุทธเจ้า ตามความเชื่อ มหายานซึ่งมองเห็นได้เด่นชัดจากทางด้านนอกตั้งไล่เลียงกันขึ้นจากชั้นล่างสุดจนถึงบนสุด ตัวของเจดีย์ก่อสร้างด้วยอิฐแดง โชว์ให้เห็นการซ้อนของอิฐและชั้นล่างด้านหน้าจะมีแท่นไว้สำหรับนักท่องเที่ยวบูชา ภายในเจดีย์จะมีจารึกประวัติความเป็นมาของเจดีย์และพระศรีศากยมุนีปางปรินิพพานที่ทำด้วยทองคำ
https://www.talontiew.com/tran-quoc-pagoda/


https://www.expedia.co.th/Tran-Quoc-Pagoda-Yen-Phu.d6115798.Place-To-Visit

          นอกจากนั้น ภายในวัดยังมีต้นโพธิ์ขนาดใหญ่ ที่เป็นอีกจุดที่น่าสนใจไม่แพ้กันกับเจดีย์เฉินก๊วกเลย เนื่องจากประวัติความเป็นมาและความเชื่อของผู้คนต่อต้นโพธิ์ต้นนี้ ตามประวัตินั้นต้นโพธิ์ต้นนี้ได้นำมาจากอินเดียโดยนายกรัฐมนตรีอินเดียเป็นผู้มอบให้และมีความเชื่อว่า ต้นโพธิ์ต้นนี้กำเนิดต่อจากต้นโพธิ์ที่เจ้าชายสิทธัตถะทรงประทับนั่งตรัสรู้ ดังนั้นจึงมีการสร้างฐานล้อมต้นโพธิ์ไว้พร้อมกับประดิษฐานพระพุทธรูปเอาไว้ด้วย


สถานที่ท่องเที่ยวในเจดีย์เฉินก๊วก ในYên Phụ ประเทศYên Phụ ...
https://www.google.com/url?

        หากใครที่ได้มีโอกาสไปเยื่อนประเทศเวียดนามควรหาโอกาสไปเดินชมและท่องเที่ยวยังวัดเฉินก๊วกสักครั้งเพราะนอกจากบรรยากาศภายในวัดที่ร่มรื่นมาก ๆ เหมาะแก่การทำจิตใจให้สงบแล้วนั้นยังสามารถเรียนรู้ประวัติศาสตร์ได้อีกด้วย แล้วเจอกันใหม่ในบล็อกหน้านะคะ สำหรับวันนี้ สวัสดีค่ะ


อ้างอิงข้อมูลจาก
https://www.talontiew.com/tran-quoc-pagoda/.สืบค้นเมื่อวันที่ 26 สิงหาคม 2563.
https://www.expedia.co.th/Tran-Quoc-Pagoda-Yen-Phu.d6115798.Place-To-Visit.สืบค้นเมื่อวันที่ 26 สิงหาคม 2563.

วันพฤหัสบดีที่ 20 สิงหาคม พ.ศ. 2563

Guide Me Please

     เทคนิคในการเป็นมัคคุเทศก์ที่ดี

    อาชีพมัคคุเทศก์ถือเป็นอาชีพในฝันของใคร ๆ คนเพราะว่านอกจากจะได้ทำงานแล้วยังได้ท่องเที่ยวไปยังสถานที่สวยงามต่าง ๆ มากมายอันเป็นผลพลอยได้จากการประกอบอาชีพมัคคุเทศก์ ในประเทศไทยเองอาชีพมัคคุเทศก์ถือว่าเป็นอาชีพหนึ่งที่มีรายได้ดีเนื่องจากประเทศไทยเป็นประเทศแห่งการท่องเที่ยวในแต่ละปีมีนักท่องเที่ยวเดินทางมายังประเทศไทยเป็นจำนวนมาก ทำให้อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวและอาชีพมัคคุเทศก์เฟื่องฟูมากในตลอดหลายปีที่ผ่านมา ถึงแม้ว่าในสถานการณ์ ณ ปัจจุบันอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวจะเกิดปัญหาจากการระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ทำให้อาชีพมัคคุเทศก์พลอยได้รับผลกระทบไปด้วย แต่กระนั้นอาชีพมัคคุเทศก์ก็ยังคงเป็นอาชีพที่ใครหลาย ๆ คนอยากทำอยู่เช่นเดิม ดังนั้นความรู้เกี่ยวกับการประกอบอาชีพมัคคุเทศน์จึงควรมีไว้เพื่อเป็นการทำความเข้าใจในหลักของการทำงานและหน้าที่ของมัคคุเทศก์เป็นอย่างไร สิ่งนี้จะนำเราไปสู่เส้นทางการเป็นมัคคุเทศก์ที่ดีได้ในอนาคต

    ในการทำทัวร์ในแต่ละครั้งนั้นมัคคุเทศก์จะมีหน้าที่หลักคือการบรรยายข้อมูลต่าง ๆ ของแหล่งท่องเที่ยว สิ่งนี้เป็นสิ่งที่ทุกคนทราบดีอยู่แล้วเพียงแต่ว่าการบรรยายของมัคคุเทศก์โดยขาดการสังเกตลูกทัวร์นั้นจะทำให้คุณไม่สามารถเป็นมัคคุเทศก์ที่ดีได้ เนื่องจาก ในแต่ละคณะทัวร์นั้นมักจะประกอบไปด้วยผู้คนหลากหลายช่วงวัย ดังนั้นการบรรยายข้อมูลและการใช้ภาษาของมัคคุเทศน์ต้องมีการปรับเพื่อให้เข้ากับกลุ่มบุคคลนั้น ๆ ด้วยเพื่อเป็นการดึงความน่าสนใจของลูกทัวร์และความสุนกสนานน่าเรียนรู้ของสถานที่ท่องเที่ยวและทัวร์ครั้งนั้น 


รูปภาพโดยเวียงคำ ชวนอุดม

    นอกจากวิธีการบรรยายที่สำคัญสำหรับมัคคุเทศก์ ตำแหน่งสำหรับการยืนพูดของมัคคุเทศก์ก็สำคัญไม่แพ้กันเนื่องจาก ตำแหน่งการยืนจะทำให้ลูกทัวร์เข้าใจในสิ่งที่มัคคุเทศก์อธิบายได้ดียิ่งขึ้น โดยลักษณะการยืนที่ดีคือ มัคคุเทศก์จะไม่ยืนหันหน้าเข้าสิ่งนำชมและอธิบายแต่ใช้สายตาในการมองสิ่งนั้นแทนแล้วจึงอธิบายและมีรอยยิ้มประดับไว้ระหว่างการบรรยายเสมอสิ่งนี้จะสร้างความเป็นมิตรให้แก่นักท่องเที่ยวและทำให้บรรยากาศของทัวร์ดียิ่งขึ้นและถ้าหากระหว่างการอธิบายลูกทัวร์มีคำถาม มัคคุเทศก์จะมีเทคนิคในการตอบคำถาม คือ ทวนคำถามลูกทัวน์อีกครั้งก่อนตอบคำถามวิธีนี้มีประโยชน์อย่างมากเพราะนอกจากจะเป็นการทวนเพื่อย้ำคำถามของลูกทัวร์แล้วมัคคุเทศก์ยังมีแล้วในการคิดหาคำตอบอีกด้วยและในการตอบคำถามของมัคคุเทศก์จะต้องสั้น กระชับและได้ใจความ จะไม่มีการบรรยายอย่างยาวเพื่อเป็นการเบิกไปสู่คำถามต่อไปเรื่อย ๆ เพราะหากทำเช่นนั้นลูกทัวร์ท่านอื่นอาจจะเบื่อได้ 

รูปโดยเวียงคำ ชวนอุดม

    สิ่งสำคัญสิ่งสุดท้ายของการทำหน้าที่ของมัคคุเทศก์ คือ การคำนึงถึงความปลอดภัยของลูกทัวร์ มัคคุเทศก์ต้องคอยสำรวจลูกทัวร์ทุก ๆ ครั้งและตลอดเวลาเพื่อไม่ให้ลูกทัวร์คลาดสายตาและต้องพูดถงสิ่งที่ลูกทัวร์ควรคำนึงและระวังของสถานที่นั้น ๆ เพื่อความปลอดภัยและเคารพในกติกาของสถานที่

รูปภาพโดยเวียงคำ ชวนอุดม

    จากที่กล่าวไปนั้นล้วนเป็นสิ่งที่มัคคุเทศก์ที่ดีควรมีทั้งสิ้นและยังทำให้เห็นว่าการเป็นมัคคุเทศก์นั้นไม่ใช่ว่าจะเป็นกันง่าย ๆ เพราะคิดว่ามัคคุเทศก์มีเพียงหน้าที่พูดอธิบายประวัติสถานที่นั้นและพาลูกทัวร์เดินชมไปเรื่อย ๆ ก็จบหน้าที่แล้ว หากคุณคิดเช่นนั้นการเป็นมัคคุเทศก์ที่ดีเยี่ยมนั้นคุณไม่มีทางเป็นได้ ดังนั้นคุณควรเรียนรู้ข้อควรปฏิบัติที่ดีของมัคคุเทศก์เพื่อนำไปสู่ความสำเร็จในอาชีพนี้ในอนาคตข้างหน้าได้อย่างสมบูรณ์



    

วันศุกร์ที่ 14 สิงหาคม พ.ศ. 2563

สภาพสังคมมนุษย์ในแต่ละยุค

มนุษย์กับการเดินทางสู่ความเป็น Civilization
    ก่อนที่สังคมมนุษย์จะมีวิวัฒนาการและอยู่รวมกันเป็นชุมชนจนเกิดเป็นอารยธรรมขนาดใหญ่นั้น มนุษย์เร่รอนอาศัยอยู่บนที่สูง ก่อนย้ายจากที่สูงลงมาสร้างถิ่นฐานใกล้ ๆ บริเวณแม่น้ำสร้างเป็นชุมชนขนาดเล็กจนขยายไปเป็นขนาดใหญ่และกลายเป็นอารยธรรม
    กล่าวไปถึงสภาพสังคมของมนุษย์ในยุคแรกเริ่มนั้น เป็นกลุ่มคนที่เร่รอน ล่าสัตว์และหาของป่าไม่มีหลักแหล่งที่ชัดเจนถึงแม้จะยังไม่อยู่กันเป็นชุมชนแต่ก็มีการอาศัยอยู่กันเป็นครอบครัวแล้วแต่ก็ยังไม่มีการรวมกลุ่มที่ชัดเจนด้วยลักษณะของการดำรงชีวิตที่ต้องล่าสัตว์ทำให้ต้องเร่ร่อนไปเรื่อย ๆ ระบบสังคมไม่มีความซับซ้อนมากเรียกได้ว่าเป็นอารยธรรมที่ยังไม่มีความเจริญแต่ถึงกระนั้นสังคมมนุษย์ในยุคนี้ก็ยังรู้จักการนำหินมาทำเป็นอาวุธเพื่อล่าสัตว์และนำสัตว์ไปทำเครื่องนุ่งห่ม ดังนั้นสภาพสังคมในยุคนี้จึงเรียกว่าเป็นยุคหินเก่า (Old Stone Age)


ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ ยุคหินเก่า
https://sites.google.com/site/yukhhinkea1/yukh-hin-kea-2


    ต่อมาเมื่อมนุษย์เริ่มรู้จักการอยู่เป็นหลักแหล่งส่งผลให้เกิดเป็นชุมชนขึ้น ในยุคนี้เรียกว่า ยุคหินใหม่ (New Stone Age) สภาพสังคมของมนุษย์ในยุคนี้มีลักษณะที่สำคัญ คือ มนุษย์รู้จักการทำเกษตรเปลี่ยนวิถีชีวิตจากเร่ร่อนหาของป่าหันมาเลี้ยงสัตว์และทำการเพาะปลูกแทน ยุคนี้ถือเป็นยุคที่สำคัญเพราะถือว่าเป็นก้าวแรกของการปฏิวัติสังคมและเศรษฐกิจ โดยเฉพาะการเกษตรที่เข้ามาเปลี่ยนสภาพสังคมจากหมู่บ้านให้กลายเป็นชุมชนเมือง กล่าวคือ มนุษย์ในยุคนี้รู้จักการวางระบบทำการเกษตร คือ มีการวางระบบชลประทานให้เชื่อมโยงกับพื้นที่เกษตรกรรมเข้ากับแหล่งน้ำทำให้การทำการเกษตรทำได้ง่ายขึ้นส่งผลให้ไม่จำเป็นต้องเกณฑ์แรงงานจำนวนมากเพื่อเข้ามาทำการเกษตรเพียงอย่างเดียว มนุษย์สามารถไปทำหน้าที่อื่นได้นอกจากการทำการเกษตรจึงทำให้มีอาชีพอื่น ๆ เพิ่มมากขึ้นและนอกจากนั้นยังทำให้ผลผลิตทางการเกษตรมีปริมาณที่มากขึ้นจนสามารถนำผลผลิตเหล่านี้สามารถส่งออก ทำการค้าขายได้ เกิดการติดต่อกับชุมชนอื่น ๆ ผ่านการค้า

ยุคหินใหม่(neolithic period หรือ new... - วัฒธรรมศึกษา ...
https://www.facebook.com/1505887862980590/posts/1506223079613735/
    

      จากที่กล่าวมานำซึ่งความเป็นอารยธรรม โดยลักษณะของการเป็นอารยธรรมนั้น สังคมมนุษย์มีความซับซ้อนมากยิ่งขึ้น มีการจัดระเบียบของสังคม โดยสิ่งที่เห็นได้ชัดเจนที่สุด คือ ระบบการปกครองที่มีชนชั้นและมีความซับซ้อนมาก เช่น ในอารยธรรมหนึ่งนั้นจะมีระบบการปกครองที่แบ่งบทบาทและชนชั้นที่ชัดเจน โดยจะมีชนชั้นสูงการปกครอง อันได้แก่ จักรพรรดิ กษัตริย์ ขุนนาง รองลงมาก็จะเป็นชนชั้นกลาง ได้แก่ พ่อค้า วิศวกร นักปราชญ์หรือผู้มีความรู้ทั้งหลายจะจัดอยู่ในชนชั้นกลาง รองมาคือชนชั้นล่าง อันได้แก่ ชาวนา เกษตรกรต่าง ๆ และสุดท้ายชนชั้นต่ำ ได้แก่ ทาส เชลย นอกจากการปกครองแล้วในอารยธรรมหนึ่งจะมีตัวอักษรเอาไว้บันทึกเรื่องราวของอารยธรรมรวมไปถึงการมีศิลปะ สถาปัตยกรรมที่บ่งบอกถึงความเป็นอารยธรรมของตนเองอีกด้วย มีการวางผังเมือง มีขอบเขตที่ชัดเจนเห็นได้ชัดว่าความเป็นอารยธรรมทุกอย่างต้องมีความชัดเจนและซับซ้อนมากขึ้นเพราะว่ามนุษย์มีสังคมที่ใหญ่ขึ้น หลากหลายขึ้น การจัดระเบียบของสังคมจึงเป็นเรื่องที่สำคัญ


อารยธรรมของโลกยุคโบราณ
https://sites.google.com/site/civilizations109/

    เมื่อมีการเกิดขึ้นและดำรงอยู่การเปลี่ยนแปลงจึงเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้อารยธรรมต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในโลกล้วนเปลี่ยนแปลงได้ มีรุ่งเรืองย่อมมีล่มสลายโดยมีปัจจัยของการล่มสลายได้อยู่หลายประการด้วยกัน คือ 
 1. สิ่งแวดล้อม การขาดแคลนของทรัพยากรและสิ่งแวดล้อมนำมาซึ่งการทำสงครามเพื่อการแย่งชิงทรัพยากรได้ 
   2. การขยายตัวของประชากรและความคิด การขยายตัวของประชากรและการเคลื่อนย้ายประชากรของอารยธรรมอื่น ๆ เข้ามาหรือเข้าไปนั้นทำให้เกิดการปรับเปลี่ยน วัฒนธรรมที่เข้มแข็งอาจกลืนวัฒนธรรมที่อ่อนแอ่ได้ 
   3. การขยายตัวของประชากรและสงคราม เมื่อมีประชากรเพิ่มมากขึ้นสิ่งที่ตามมาคือความต้องการในด้านพื้นที่และทรัพยากรทำให้เกิดการขยายอารยธรรมอันนำมาซึ่งการทำสงครามเพื่อแย่งชิง
        จากที่กล่าวมาทั้งหมดนั้นจะเห็นได้ว่า การเกิดขึ้นของอารยธรรมนั้นมีส่วนสำคัญในการเปลี่ยนแปลง คือ มนุษย์รู้จักการวางระบบชลประทาน อันเป็นเทคโนโลยีที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทั้งในด้านสังคมและเศรษฐกิจที่ทำให้มนุษย์เกิดการพัฒนาและเปลี่ยนแปลงทำให้เห็นว่าเทคโนโลยีไม่ว่าจะยุคไหน ๆ ก็มักจะเป็นส่วนสำคัญของการพัฒนาและเปลี่ยนวิถีชีวิตมนุษย์อยู่เสมอ ดังนั้น การเรียนรู้และเท่าทันเทคโนโลยีจะสามารถทำให้รู้เรื่องราวได้กว้างมากขึ้นกว่าที่เป็นอยู่ได้อย่างแน่นอน
 

 

วันพฤหัสบดีที่ 6 สิงหาคม พ.ศ. 2563

วิวัฒนาการการกำเนิดของมนุษย์

 

มนุษย์กำเนิดมาจากไหนกันนะ?

          การเกิดขึ้นของมนุษย์เรานั้นมีวิวัฒนาการในการกำเนิดและมีกระบวนการที่นำมาสู่มนุษย์ในยุคปัจจุบัน โดยมีต้นกำเนิดของเผ่าพันธุ์มนุษย์ในแถบแอฟริกาก่อนจะกระจายไปยังที่ต่าง ๆ ทั่วโลก มีการปรับเปลี่ยนรูปร่าง หน้าตา ตามสภาพแวดล้อมที่ได้ไปอาศัยอยู่ และมีอยู่มากมายหลายสายพันธุ์ แต่เราสามารถแบ่งพัฒนาการและมนุษย์กลุ่มหลัก ๆ ได้ออกเป็นทั้งหมด 4 กลุ่ม ดังนี้

มนุษย์ในแต่ละกลุ่มในโลกนี้ 4 พัฒนาการ

- มนุษย์ Austropithecine เป็นมนุษย์ที่ยืนตัวตรงปรากฏในแอฟริกาเมื่อ 4-5 ล้านปีมาแล้วมีสมองเป็น 1ใน3 ของมนุษย์ในปัจจุบัน

- Habilis มนุษย์ Handy man ปรากฏในแอฟริกาเมื่อ 2-4 ล้านปีมาแล้วมีสมองขนาดครึ่งหนึ่งของมนุษย์ในปัจจุบัน

- Erectus มนุษย์ตัวตรง เริ่มต้น 1-2 ล้านปีมาแล้วเริ่มมีการใช้เครื่องมือหินรู้จักการใช้ไฟเพราะอาศัยอยู่ในแดนหนาว

- Hono Sapiens (wise man) มนุษย์ฉลาดเกิดในแอฟริกาเมื่อ 200,000 ปีมาแล้วเป็นกลุ่มมนุษย์ที่เหมือนคนปัจจุบันที่สุดและสร้างไฟเก่งกว่าerctus

และจากที่กล่าวไปข้างตันมีมนุษย์ที่เดินทางเข้าสู่ทวีปเอเชียซึ่งมีอยู่ด้วยกัน 2 กลุ่ม คือ Homo Erectus และ Sepiens ซึ่งนั้นก็คือ มนุษย์ปักกิ่งและชวามนุษย์ทั้งสองเป็นมนุษย์ในกลุ่ม Homo erectus 

- มนุษย์ปักกิ่งขุดค้นพบครั้งแรกในปี 1923 ในถ้ำใกล้หมู่บ้านโจวโค่วเดียน ในตอนนั้นเป็นช่วงสงครามโลกจึงทำให้ฟอสซิลหายไปเป็นจำนวนมากทำให้เราสูญเสียข้อมูลที่มีค่าเกี่ยวกับมนุษย์ปักกิ่งไป แต่จากการค้นคว้านั้นจึงทำให้ทราบว่ามนุษย์ปักกิ่งนี้เป็นบรรพบุรุษมนุษย์ที่อาศัยอาศัยอยู่ในประเทศจีนประมาณ 200,000 ถึง 750,000ปีก่อนที่รู้จักการใช้ไฟ ใช้หอก เจาะรูวัสดุ

รูปภาพจาก https://mint125.wordpress.com/2011/07/24/%E0%B8%8B%E0%B8%B2%E0%B8%81%E0%B8%A1%E0%B8%99%E0%B8%B8%E0%B8%A9%E0%B8%A2%E0%B9%8C%E0%B8%9B%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%81%E0%B8%B4%E0%B9%88%E0%B8%87/
รูปภาพจาก https://mint125.wordpress.com87/

- มนุษย์ชวา (Java man) เป็นมนุษย์ดึกดำบรรพ์ยุคแรกที่ค้นพบที่เกาะชวาอินโดนีเซียเมื่อปี 1891-1892 โดยทีมขุดค้นชาวฝรั่งเศสพบกระดูกฟัน กะโหลกศีรษะและกระดูกต้นขาในแถวๆโซนแม่น้ำตะวันออก

รูปภาพจาก https://www.facebook.com/sararueaipueai/posts/1385604384906441/

เมื่อเราทราบถึงที่มาของและวิวัฒนาการของมนุษย์ในยุคต่าง ๆ แล้วนั้น สิ่งที่น่าสนใจอีกประการของมนุษย์คือ การดำรงอยู่ในแต่ละยุคของมนุษย์มีการปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตและดำรงชีวิตอย่างไร อะไรคือความแตกต่างในแต่ละยุค โดยเราสามารถกล่าวได้ว่า

- มนุษย์ยุคหินเก่า จะมีวิถีชีวิตและดำรงชีวิตโดยการล่าสัตว์ มนุษย์ยุคหินเก่ามักจะอพยพย้ายถิ่นฐานตามสัตว์ไปเรื่อย ๆ กล่าวได้ว่าอารยธรรมต่าง ๆ ของมนุษย์ในยุคนี้ไม่ค่อยเจริญมากนักเพราะมักจะมีการต่อสู้กันระหว่างชนเผ่าเพื่อความอยู่รอดและล่าสัตว์เพื่อดำรงชีวิตแต่ลักษณะการดำรงชีวิตแบบนี้ทำให้มนุษย์ในยุคนี้รู้จักการพัฒนาเครื่องมือในการล่าสัตว์ มีการใช้อาวุธทำด้วยหิน อย่างหอก และในยุคหินเก่านี้มีการอยู่รวมกันเป็นครอบครัวแล้วแต่ยังไม่เป็นชุมชน

- มนุษย์ยุคหินใหม่ จะเป็นยุคของการทำการเกษตร ปลูกพืชไว้เป็นอาหารมักตั้งถิ่นฐานอยู่บริเวณใกล้ ๆ กับแม่น้ำและตั้งตัวอาศัยอยู่กันเป็นชุมชนแล้วไม่เร่รอนเป็นการปรับตัวให้เข้ากับสิ่งแวดล้อมและข้อจำกัดของถิ่นที่อยู่อาศัยโดยไม่ต้องเร่ร่อน

จากที่กล่าวมาทำให้เราได้ทราบว่าการเรียนรู้เกี่ยวกับมนุษย์นั้นสำคัญเพราะทำให้เราเข้าใจได้และค้นพบว่ามนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่รู้จักถึงการปรับตัวให้เข้ากับธรรมชาติและวิวัฒนาการในการเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ ทำให้การศึกษาในเรื่องราวเกี่ยวกับมนุษย์จึงเป็นการศึกษาที่ไม่มีวันสิ้นสุดและมีสิ่งใหม่ให้เรียนรู้เสมอ




วันพฤหัสบดีที่ 5 มีนาคม พ.ศ. 2563

WAT RATCHABURANA

https://thailandtourismdirectory.go.th/th/info/attraction/detail/itemid/1455
Wat Ratchaburana, “the temple of Royal Restoration”

      Wat Ratchaburana, which translates to “the temple of Royal Restoration” was built in 1424 by King Borommarachathirat II as a memorial to his two elder brothers. It is located on the historical island near Wat Mahathat.
     When it was constructed it was accessible by boat as it was on the banks of a canal, that has been filled up about a century ago.
History of Wat Ratchaburana
    When King Intharacha I died his two eldest sons fought each other to be the next King. As both died the King’s third son Prince Sam Phraya ascended the throne. The Prince built Wat Ratchaburana on the spot where his two older brothers were cremated. Two chedis were erected on the spot where the princes died. The temple was largely destroyed and looted during the Burmese invasion of 1767.
Treasures from the temple crypt
     In 1957 the crypt of the Wat Ratchaburana was looted and many precious artifacts as votive tablets, golden Royal regalia, gems and Buddha images were stolen. The thieves were caught and some of the treasures were recovered. A year later the Fine Arts Department started excavation and restoration of the temple. Many more priceless objects were discovered that are now exhibited at the nearby Chao Sam Phraya National Museum.
Architecture of the Wat Ratchaburana
     Wat Ratchaburana was built following Khmer design concepts. Its design resembles the early mountain temples of Angkor. The monastery faces East, the direction of the rising sun. The temple’s center is a large Khmer style prang symbolizing Mount Meru, the center of the universe in Buddhist and Hindu cosmology. The prang is surrounded by four smaller towers, in turn surrounded by a gallery enclosing a courtyard. Much later an ordination hall (ubosot) and a large assembly hall (viharn) were added. The viharn’s walls are still standing, its wooden roof has long gone.
Khmer style prang
       At the center of the temple stands a large corncob shaped prang on an elevated platform. Some of the fine stucco ornamentation is still visible as well as sculptings of mythical creatures as Garudas and multi headed Naga snakes. On the East side is a steep stairway leading to the crypt where relics were discovered that are now exhibited in the nearby Chao Sam Phraya National Museum. The main prang has been restored by the Fine Arts Department.
Subsidiary chedis and viharns
Around the main buildings is a large number of chedis in various styles and states of preservation as well as several subsidiary viharns.
Opening hours
Wat Ratchaburana opens daily from 8 am until 5 pm.
Entrance fees
Entrance fee is 50 Baht per person.
Reference Data from

วันศุกร์ที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2562

การสำรวจความรู้เกี่ยวกับเชียงตุง รัฐฉาน ประเทศเมียนมาร์ในไทย

รูปจากhttps://pantip.com/topic/35844489
   
          การรับรู้เกี่ยวกับเชียงตุงของคนไทยนั้นอาจจะมีอยู่ไม่มากนักหลายคนอาจจะรู้จักเชียงตุงและเคยได้ยินเกี่ยวกับเชียงตุงมาบ้างผ่านรายการท่องเที่ยวตามโทรทัศน์และ Vlog ต่างๆของเหล่า youtuber บ้างแต่ถ้าหากผู้ที่สนใจเกี่ยวกับเชียงตุงในมิติอื่นๆที่มากขึ้นบล็อกนี้จะมาแนะนำงานเขียนเกี่ยวกับเชียงตุงที่ควรอ่านและศึกษาแก่ผู้ที่สนใจมากแนะนำกัน       
       ก่อนที่จะแนะนำงานเขียนที่เกี่ยวกับเชียงตุงนั้นเรามารู้จักกับประวัติของเมืองเชียงตุงกันสักเล็กน้อย  เชียงตุง  (Keng Tung)   เป็นเมืองที่ตั้งอยู่ใน รัฐฉาน ประเทศ เมียนมาร์ เป็นเมืองของชาวไทเขินและชาวไทใหญ่ โดยชาวไทยใหญ่เรียกเมืองแห่งนี้ว่า เก็งตุ๋ง (Keng Tung) ในอดีตเชียงตุงเป็นเมืองที่มีความสำคัญทางการค้าเพราะมีภูมิศาสตร์ที่เชื่อมต่อระหว่างสิบสองปันนาและล้านนาโดยอาณาเขตทิศเหนือติดกับสิบสองปันนา ในมณฑลยูนาน ทางใต้ติดกับล้านนา 
 ปัจจุบันเชียงตุงได้กลายเป็นศูนย์กลางการท่องเที่ยวเชิงประวัติศาสตร์ที่สำคัญเมืองหนึ่งของประเทศพม่าเนื่องจากภายในเมืองเชียงตุงนั้น มีวัดเก่าแก่  โบราณสถาน  จนเชียงตุงได้รับการขนานนามว่าเป็น เมืองร้อยวัด เฉพาะในตัวเมืองมีวัดถึง 44 วัด แยกเป็นวัดไทเขิน 33 วัด วัดไทใหญ่ 10 วัด และวัดพม่า 1 วัด ในแต่ละวันจะมีชาวเชียงตุงและนักท่องเที่ยวโดยเฉพาะพุทธศาสนิกชนชาวไทยไปกราบนมัสการอยู่เสมอ

           
รูปจาก https://www.rabbittoday.com/th-th/articles/guide-to-go/chiang-tung-myanmar
             ในการทำบล็อกเกี่ยวกับการสำรวจความรู้เกี่ยวกับเชียงตุง รัฐฉาน ประเทศเมียนมาร์ในไทยในครั้งนี้ได้ใช้วิธีศึกษาจากแหล่งข้อมูลประเภทวิทยานิพนธ์ บทความ วารสาร วิดีทัศน์ เมื่อสืบค้นและได้อ่านบทความ วารสาร และวิทยานิพนธ์ต่างๆที่สืบค้นเกี่ยวกับเชียงตุงทำให้สามารถแบ่งงานเขียนต่างๆเกี่ยวกับเชียงตุงในไทยออกได้เป็น 4 ประเด็น 
ได้แก่ 1. ด้านประวัติศาสตร์  2. ด้านชาติพันธุ์   3.ด้านสถาปัตยกรรม ศิลปะ  4. ด้านการท่องเที่ยว
             งานเขียนในประเด็นประวัติศาสตร์   ค้นพบเอกสารสัมมนาวิชาการ 3  ฉบับ
         1. การเมืองข้ามฝั่งโขง : ความสัมพันธ์ระหว่างน่านและสิบสองปันนา.รัตนพร เศรษฐกุล.(2558).
     เป็นการศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างน่านและสิบสองปันนาระหว่างต้นคริสต์ศตวรรษที่ 19 เพื่อวิเคราะห์หาสาเหตุของการเกิดสงครามเชียงตุงในทศวรรษที่ 1850 พบว่า ความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งระหว่างน่านกับสิบสองปันนาและระบบรัฐบรรณาการที่สับสนไม่แน่นอนเป็นสาเหตุหนึ่งของสงครามสาเหตุสำคัญประการหนึ่งที่ทำให้สยามโจมตีเชียงตุงและต่อมาหน้าพยายามบังคับให้เชียงแข็งยอมรับอำนาจของสยาม สยามเองก็มีความต้องการที่จะขยายอำนาจเข้าไปสู่สิบสองปันนาและรัฐไทยอื่นๆเพื่อที่จะปกครองบ้านเมืองฝั่งตะวันออกของแม่น้ำโขงให้ได้โดยง่ายเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ดังกล่าวสยามจึงต้องยึดครองเชียงตุงและบ้านเล็กเมืองน้อยใกล้เคียงที่อยู่ภายใต้ระบบรัฐสองฝ่ายฟ้าหรือ 3 ฝ่ายฟ้าภายใต้การปกครองของพม่าจีนและเวียดนามให้ได้นั่นเต็มใจสนับสนุนนโยบายขยายอำนาจของสยามและเป็นตัวแทนของสยามในการก่อตั้งอำนาจอธิปไตยเหนือดินแดนเหล่านี้ทั้งคู่แบ่งปันผลประโยชน์จากการทำสงครามกล่าวคือน่านต้องการปกปักรักษาไพร่พลชาวลื้อที่ตนเองกว่าต้นกวาดต้อนมาเพราะกำลังคนมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อความเข้มแข็งทางการเมืองและเศรษฐกิจของรัฐ อำนาจทางการทหารของสยามทำให้อิทธิพลของหน้าในฐานะตัวแทนของสยามมีความเด่นชัดขึ้นหลังจากสยามยุติสงครามเชียงตุงน่านยังคงขยายอำนาจไปยังบ้านเมืองอีกฝั่งหนึ่งของน้ำโขงจนกระทั่งอังกฤษและฝรั่งเศสเข้ามาจัดการปักปันเขตแดนในปี 1893 การเมืองสองฝั่งโขงในคริสต์ศตวรรษที่ 19 ดำเนิน ไป ภายใต้ระบบเครือญาติของกลุ่มคนที่พูดภาษาไทยสองฟากฝั่งแม่น้ำนี้ เป็นความสัมพันธ์ฉันบ้านพี่เมืองน้องทำให้หน้าจอขยายอำนาจมีคนเข้าไปสิบสองปันนาได้อย่างสะดวก
           2. ศึกเชียงตุง : การเปิดแนวรบเหนือสุดแดนสยามในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว.รัตนพร เศรษฐกุล.(มปป
            พระราชพงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์รัชกาลที่ 3 ชี้สาเหตุของสงครามเชียงตุงเกิดจากการที่สยามต้องการช่วยเหลือเจ้านายสิบสองปันนาที่หนีมาพึ่งพระบรมโพธิสมภารอยู่ที่เมืองหลวงพระบางและเมืองหลวงภูคาซึ่งอยู่ภายใต้การปกครองของเมืองน่านพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงมีพระราชดำริว่าการจะยึดครองสิบสองปันนาได้จะต้องยึดครองเชียงตุงให้ได้ก่อนจึงโปรดให้เกณฑ์ทับหัวเมืองล้านนาไปตีเมืองเชียงตุงใน พ.ศ. 2392 การเน้น สาเหตุดังกล่าวซึ่งดูชัดเจนและตรงไปตรงมานั้นอาจจะเป็นการอำพรางความมุ่งหมายที่แท้จริงของสยามในการทำศึกเพราะเป็นการมองข้ามความสำคัญของเชียงตุงและสามารถโต้แย้งได้ว่าหากสยามต้องการสิบสองปันนาจริงก็สามารถยึดครองสิบสองปันนาจากเส้นทางอื่นและควบคุมโดยศูนย์อำนาจชายแดนอื่นๆของสยามได้โดยไม่ต้องยึดครองเชียงตุง ในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์สยามขยายอำนาจออกไปกว้างขวาง ความร่วมมือของผู้นำบ้านเมืองรัฐชายขอบที่ยอมรับฐานะประเทศราชของสยามการยกกองทัพไปตีเมืองเชียงตุงเป็นการเปิดแนวรบที่อยู่เหนือสุดในสยามเคยทำการศึกครั้งนี้ไม่ธรรมดาเชียงตุงไม่ได้เป็นเพียงบันได หรือทางผ่านไปสิบสองปันนาอย่างที่เคยเข้าใจ เพราะถ้าหากศึกษาจากค้นพบว่าเชียงตุงไม่น่าจะขยายอำนาจไปครอบครองสิบสองปันนาเพราะสยามไม่อาจคาดหวังว่าจะได้อะไรจากสิบสองปันนาซึ่งอยู่ห่างไกลอีกทั้งยังมีสภาพการเมืองภายในที่วุ่นวายพร้อมกับสถานภาพการเป็นเมืองสองฝ่ายฟ้า สยามคงไม่อยากจะหาเรื่องใส่ตัวไปเป็นฝ่ายฟ้าที่ 3 ในพื้นที่ห่างไกลเช่นนั้นเพราะฉะนั้นจึงต้องศึกษาความสัมพันธ์เชิงอำนาจระหว่างบ้านเมืองในอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขงจะเห็นว่าศึกเชียงตุงเป็นเพียงภาพการเคลื่อนไหวของประวัติศาสตร์ความขัดแย้งที่กว้างกว่าและรวมเอาผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องที่มากกว่าสยามพม่าล้านนาแล้วก็เชียงตุง
               3.   ศึกเชียงตุงในวรรณกรรมพม่า.สุเนตร ชุตินธรานนท์.(มปป)
              ในงานวรรณกรรมเฉลิมพระเกียรติพระเจ้ามินดง ซึ่งผู้เขียนก็คือ มหากวี อูโปงยะ (U Ponya) เป็นมหากวีที่เปรียบเทียบได้กับสุนทรภู่ของไทย มหากวีได้นิพนธ์งานไว้หลายชิ้นแต่ในกรณีของเชียงตุงงานที่อูโปงยะเขียนนั้นเป็นการนำสงครามในครั้งนั้นมาประมวลรวมเข้ากับเหตุการณ์ที่สำคัญอื่นๆโดยแต่งขึ้นในลักษณะวรรณกรรมเฉลิมพระเกียรติพระเจ้ามินดงโดยมีเหตุการณ์ที่ถูกนำมาแสดงเฉลิมพระเกียรติหลักๆเลย 3 เรื่องก็คือ ลำดับราชวงศ์ ศึกเชียงตุงครั้งที่ 1 และครั้งที่ 2 ที่เกิดขึ้นในสมัยรัชกลาพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวและการสถาปนากรุงมัณฑะเลย์ขึ้นเป็นราชธานีใหม่ งานวรรณกรรมชิ้นนี้ภายหลังรู้จักกันในชื่อของ โยธยานัยโมโกง (Yodaya Naing Mowgun) โดยมีหลักฐานปรากฏถึงศึกเชียงตุง เดิมรู้จักกันในชื่อ เซงเมนัยโมโกง (Zinnme Naing Mowgun) หรือมหากาพย์ว่าด้วยการพ่ายแพ้ของเชียงใหม่ต่อมาวรรณกรรมชิ้นนี้  ถูกนำมาเผยแพร่ภายหลังและรู้จักกันในชื่อ โยธยานัยโมโกง ซึ่งแปลว่า โยธยาพ่าย ในหนังสือ โยธยานัยโมโกงเป็นหนังสือที่ว่าด้วยโยธยาพ่ายแพ้พม่าที่มีปรากฏด้วยกันของสงครามนั้นก็คือ สงครามคราวเสียกรุงศรีอยุธยาในปี พ..2310 เป็นวรรณกรรมเฉลิมพระเกียรติพระเจ้ามังระหรือที่พม่าเรียกว่า เซงพยูเชง ส่วนอีกเรื่องหนึ่งนั้นก็คือ ศึกเชียงตุง จะเห็นได้ว่าในขณะที่ทางฝ่ายไทยได้กล่าวถึงศึกเชียงตุงอย่างค่อนข้างจำกัดและไม่ให้ความสำคัญกับศึกครั้งนี้โดยเฉพาะศึกเชียงตุงแต่พม่ากลับให้ความสนใจและให้ความสำคัญกับศึกครั้งนี้เป็นพิเศษถึงขนาดเขียนขึ้นเป็นวรรณกรรมเฉลิมพระเกียรติโดยเฉพาะทั้งนี้ทั้งนั้นอาจเป็นเพราะว่าก่อนหน้าที่พม่าจะเกิดศึกเชียงตุงนั้น พม่าได้มีภัยสงครามกับอังกฤษอย่าง สงครามอังกฤษพม่าครั้งที่ 1 และ 2 ซึ่งสงครามครั้งแรกเกิดขึ้นในปี พ.. 2367-2369 ตรงกับรัชกาลของพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวและสงครามกับอังกฤษครั้งที่ 2 นั้นเกิดใน พ..2395 ผลมาจากการรบทั้ง 2 ครั้ง พม่าซึ่งจัดเป็นมหาอำนาจในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในภาคพื้นทวีปต้องพ่ายแพ้ให้กับจักรวรรดินิยมอังกฤษซึ่งเป็นผู้รุกราน เหตุการณ์ชี้ให้เห็นว่า ในศึกชียงตุงครั้งที่ พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงวงษาธิราชสนิทได้ยักทัพขึ้นไปครั้งแรกในปี พ.. 2396 นั้นเกิดขึ้นหลังจากที่พม่าได้พ่ายแพ้ให้กับอังกฤษ จึงกล่าวได้ว่า พม่านั้นได้แพ้มาแล้วถึงสองครั้งเมื่อต้องมารบศึกเชียงตุงที่ไทยตีชิงไม่สำเร็จนั้นในมุมมองของพม่ามองว่าเป็นชัยชนะและเป็นชัยชนะที่พม่ามองว่าสามารถกู้หน้ากู้ตาของมหาอำนาจเก่าอย่างพม่าได้ เป็นชัยชนะที่ได้ขวัญกำลังใจจึงถูกนำมาให้ความสำคัญและนำมาสรรเสริญในงานวรรณกรรมเฉลิมพระเกียรติพระมหากษัตริย์พระองค์ใหม่ที่ย้ายราชธานีมาตั้งที่มัณฑะเลย์
          สรุป   จากการที่ได้มีการอ่านงานทบทวนงานเขียนด้านประวัติศาสตร์ของเชียงตุง พบว่า เป็นการนำเสนอประวัติศาสตร์เชียงตุงในช่วงที่มีการทำศึกสงครามกับสยามโดยสงครามในครั้งนั้นบางครั้งจะมีการวิเคราะห์และตีความไปในหลากหลายแนวทางไม่ว่าจะเป็นการอ้างจากพระราชพงศาวดารในรัชกาลที่ 3 ว่าเหตุที่ทำให้เกิดสงครามเกิดจากการที่กรุงเทพฯต้องการเข้ายึดครองเชียงตุงเพื่อใช้ในการเป็นจุดยุทธศาสตร์หรือเหตุผลทางการเมืองอื่นๆรวมไปถึงการให้ความสำคัญของประวัติศาสตร์การทำศึกเชียงตุงของสองประเทศอย่างสยามและพม่านั้นล้วนแตกต่างกันในความเห็นพม่านั้นศึกเชียงตุงถือเป็นศึกที่พม่าถือว่าเป็นชัยชนะกู้หน้าให้พม่าถึงขนาดมีการไปเขียนเป็นวรรณกรรมเพื่อเฉลิมพระเกียรติแด่กษัตริย์พม่าในขณะเดียวกันสยามกลับไม่ค่อยให้ความสำคัญและกล่าวถึงศึกครั้งนี้มากนัก
               งานเขียนด้านชาติพันธุ์  ค้นพบ 1 งานวิจัย  3 วารสาร
               1. วัดและชุมชนไทใหญ่ในเมืองเชียงตุง.รักฎา  เมธีโภคพงษ์.(มปป).
                เป็นการศึกษาเรื่องวัดและชุมชนไทใหญ่ในเมืองเชียงตุงเพื่อศึกษาประวัติศาสตร์และความสัมพันธ์ของวัดและชุมชนชาวไทใหญ่กับไทเขินในเมืองเชียงตุงอันจะนำไปสู่การอยู่ความกันบนพื้นฐานของความหลากหลายทางวัฒนธรรม พบว่า ชาวไทใหญ่ได้อพยพเข้ามาในเชียงตุงอันเกิดจากการปกครองในรัฐจารีตและตกอยู่ภายใต้อาณานิคม แต่เมื่อสิ้นสุดยุคอาณานิคม พม่าและเชียงตุงกลับต้องเผชิญกับสงครามโลกครั้งที่ 2 ทำให้เกิดการกระจัดกระจายของผู้คนโดยเฉพาะชาวไทใหญ่ซึ่งบางส่วนเดินทางเข้ามาประเทศไทยบางส่วนก็ได้ไปตั้งถิ่นฐานอยู่ที่เชียงตุงชาวไทใหญ่และชาวไทเขินได้อาศัยอยู่ร่วมกันจึงเกิดเป็นหมู่บ้านเล็กๆขึ้นมาในเมืองเชียงตุงโดยแต่ละหมู่บ้านมีวัดเป็นแกนกลางของสังคมจนกลายมาเป็นระดับตำบลเพราะในสังคมเมืองเชียงตุงรัฐบาลไม่อนุญาตให้ดำเนินกิจกรรมใดๆนอกจากศาสนกิจ แกนนำทางสังคมของเชียงตุงจึงมาในรูปแบบของสถาบันสงฆ์ คณะกรรมการวัด และกลุ่มผู้อาวุโสในหมู่บ้าน ซึ่งกลุ่มเหล่านี้มีบทบาทกับทางสังคมของเชียงตุงเป็นอย่างมาก เพราะ พิธีกรรมทางพุทธศาสนาเป็นเครื่องมือในการปฏิสัมพันธ์ซึ่งกันและกันโดยคนมีความเชื่อในเรื่องของพระพุทธศาสนา ความศรัทธาในพระพุทธศาสนาการร่วมกิจกรรมหรือทำพิธีกรรมทางศาสนาถือเป็นบุญกุศลอันแรงกล้าทำให้วัดและศาสนาเป็นสื่อกลางอันแรงกล้าของคนในสังคมเชียงตุงใช้เป็นตัวกลางในกระบวนการขัดเกลาทางสังคมตลอดจนการ สืบทอดของ อัตลักษณ์คนไทใหญ่ไม่ให้ถูกกลืนในท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงของสังคม การเมืองและความเป็นสมัยใหม่
       2.พลวัตของกาดเมืองเชียงตุงในบริบทการค้าและความเป็นชาติพันธุ์  (2561) ดุจฤดี คงสุวรรณ และ  เสมอชัย พูลสุวรรณ   
   เป็นการศึกษาการทำความเข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างวิถีเศรษฐกิจกับความเป็นพหุทางชาติพันธุ์ในระบบตลาดกาดเมืองเชียงตุงรัฐฉานสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาร์    พบว่าท้ายที่สุดการเกิดการค้าระบบตลาดกาดเมืองเชียงตุงนำไปสู่การเกิดพลวัตของศูนย์กลางการคมนาคมและชุมชนทางการค้าโดยมีความหลากหลายทางชาติพันธุ์ เช่น ขึน ไตโหลง ลื้อ หลอย จีนฮ่อ อาข่า พม่าและอินเดียประกอบกันเป็นเครือข่ายที่มีความชำนาญเฉพาะด้านในการผลิต การจัดหาสินค้า รูปแบบการขนส่งสินค้าการพัฒนาของความเป็นพลวัตในกาดเมืองเชียงตุงสามารถแบ่งออกได้เป็น 3 ช่วง ในช่วงแรกชนชาติพันธุ์ต่างๆในเชียงตุงถูกแบ่งเป็นชนชั้นภายใต้การปกครองในระบบเจ้าฟ้าโดยมีกลุ่มชาติพันธุ์ขึนเป็นผู้เล่นหลักเรื่อยมาจนถึงสมัยอาณานิคมที่ระบบเศรษฐกิจสำคัญขึ้นอยู่กับอุตสาหกรรมป่าไม้และแร่ธาตุที่ถูกกุมโดยกลุ่มของชนชั้นสูงและเครือญาติผลที่ตามมาในช่วงเวลานี้คือมันทำให้เกิดการไหลบ่าของคนในบังคับของอังกฤษลงสู่พื้นที่นี้เพื่อทำงานในภาคอุตสาหกรรมในที่สุดก็อาศัยอยู่อย่างถาวรในเมืองเชียงตุงจนมีสถานภาพและบทบาททางสังคมเพิ่มสูงขึ้นในระบบตลาดกาดเมืองเชียงตุงในเวลาต่อมา ช่วงที่ 2 สืบเนื่องมาจากระบบสังคมนิยมตามวิถีเกิดการขาดแคลนสินค้าที่จำเป็นต่อการบริโภคภายในประเทศไทยที่สุดจึงเป็นปัจจัยเกื้อหนุนให้เกิดระบบตลาดมืดและการค้าสินค้าผิดกฎหมายบริเวณตลอดแนวชายแดนไทยและจีนอย่างต่อเนื่อง ช่วงที่ 3 เมื่อระบบสังคมนิยมตามวิถีพม่าล่มสลายในค.ศ.1988 มีการเปิดประเทศและมีการพัฒนาความสัมพันธ์ทางการค้าระหว่างประเทศจากนโยบายการค้าชายแดนไทยเมียนมาร์ด้านด่านแม่สายท่าขี้เหล็กและจีนผ่านโครงการเส้นทางแนวเหนือใต้เส้น R3B ซึ่งเชื่อมแม่สายเชียงตุงเชียงรุ่งใน ค.. 2003 อันนำไปสู่การค้าชายแดนเต็มรูปแบบรวมถึงการส่งเสริมให้เชียงตุงเป็นหนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวทางวัฒนธรรมที่สำคัญของพม่าการปรับตัวให้เข้ากับอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวซึ่งส่งผลให้กลุ่มชาติติพันธ์เช่นหลอยและอาข่าที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นเพียงชนชาติพันธุ์ชายขอบและระบบเจ้าฟ้าและรัฐบาลทหารสามารถปรับเปลี่ยนตัวเองได้เป็นอย่างดีในโลกเสรีนิยมสมัยใหม่ด้วยกลยุทธ์ที่หลากหลายในการสร้างความมั่งคั่งและการพัฒนาสถานะทางสังคมของกลุ่มชาติติพันธ์ ทำให้ยืนหยัดได้อย่างมั่นคงในประโยชน์ทางการค้าและด้วยทรัพยากรที่กลุ่มชาติพันธุ์เหล่านี้มี
         3.   ระบบนิเวศกับการวางผังหมู่บ้านพื้นถิ่นของไทเขินเชียงตุง (2548) อรศิริ ปาณินท์
   เป็นการศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างระบบนิเวศและวิถีชีวิตสภาพหมู่บ้านของกลุ่มชาติติพันธ์ไททั้งในประเทศไทยและนอกประเทศไทย  พบว่ากลุ่มชาติพันธ์ไทนอกประเทศสามารถให้ความเข้าใจความสัมพันธ์ของชุมชนและหมู่บ้านได้แจ่มชัดกว่าในประเทศไทยเพราะชุมชนทุกแห่งยังเก็บรักษาลักษณะดั้งเดิมไว้ได้มากการนับถือธรรมชาติและบรรพบุรุษยังคงอยู่ด้วยกันอย่างชัดเจนโดยเฉพาะในกลุ่มชาติติพันธ์ไทเขินเชียงตุง ในบทความนี้เห็นได้ชัดว่าผังกายภาพของหมู่บ้านสะท้อนให้เห็นแก่นของวัฒนธรรม 3 ประการคือ 1. การเคารพในธรรมชาติที่เชื่อมโยงจิตวิญญาณกับระบบนิเวศ  2. การเคารพบรรพบุรุษและเครือญาติ  3. การพึ่งพาตนเองในระบบของชุมชนที่ยืนอยู่บนขาของตนเอง     
      4. คุณลักษณะของเรือนพื้นถิ่นชาวไทเหนือหมู่บ้านหนองเงินเมืองเชียงตุงรัฐฉานเมียนมาร์  (2558)   
ภัควี วงศ์สุวรรณ และ เกรียงไกร เกิดศิริ 
 พบว่า กลุ่มเรือนที่ก่อสร้างด้วยอิฐดินดิบและไม้ของชาวไทเหนือในหมู่บ้านหนองเงินมีพัฒนาการด้านเทคนิคการก่อสร้างเป็นสัมภาระทางวัฒนธรรมมาจากถิ่นฐานดั้งเดิมซึ่งอยู่ทางตอนใต้ของจีนมาใช้ร่วมกันกับรูปแบบเรือนของชาวไทเขินซึ่งเป็นเจ้าของพื้นที่มาก่อนจนเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวซึ่งลักษณะองค์ประกอบผังและแผนผังอาคารจะมีลักษณะคล้ายกับเรือนของชาวไทเขินเกือบทุกประการแต่จะแตกต่างกันตรงที่การวางตำแหน่งห้องนอนหลักของชาวไทเหนือนิยมวางทางฝั่งขวาของเข่งพะลา (หิ้งพระ) และนิยมหันหัวนอนไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ในขณะที่เรือนไทเขินนิยมวางตำแหน่งห้องนอนทางฝั่งซ้ายของเข่งพะลาและนิยมหันหัวไปทางทิศตะวันออกการทราบถึงลักษณะสถาปัตยกรรมที่เปลี่ยนแปลงไปนั้นทำให้ทราบถึงข้อมูลที่พอจะเชื่อมโยงไปสู่ประเด็นทางชาติพันธุ์ซึ่งเป็นชาวไทเหนือที่เอาภูมิปัญญาการก่อสร้างบ้านติดดินแบบจีนมาใช้กับพื้นที่ตั้งถิ่นฐานใหม่ของชาวไทเขิน มีการหยิบยืมเอาวัฒนธรรมการก่อสร้างของชาติพันธุ์อื่นมาพัฒนาเป็นแนวทางของตน

 สรุป   จากที่ได้มีการอ่านทบทวนวรรณกรรมด้านงานเขียนชาติพันธุ์ของเชียงตุง พบว่า ในวารสาร  เรื่อง คุณลักษณะของเรือนพื้นถิ่นชาวไทเหนือของหมู่บ้านหนองเงิน เมืองเชียตุง ของภัควี วงศ์สุวรรณ และ เกรียงไกร เกิดศิริ  นั้นเป็นวารสารที่เผยแพร่เมื่อ ปี พ..2558 ได้มีการอ้างอิงถึงงานเขียน อรศิริ ปาณินท์ ในวารสาร เรื่อง พลวัตของเรือนพื้นถิ่นไทใหญ่ในพื้นที่ร่วมทางภูมิศาสตร์ในอุษาคเนย์ : ไทย เมียนมาร์ ลาว ฉบับเมื่อปี 2557 ที่อยู่ในด้านสถาปัตยกรรม โดยในงานเขียนเกี่ยวกับเชียงตุงในด้านชาติพันธุ์นั้นส่วนใหญ่แล้วเป็นการเขียนนำเสนอเชียงตุงในการดำเนินชีวิตร่วมกันในสังคมเชียงตุงของกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆอย่าง ไทใหญ่ ไทเขิน ลื้อ อาข่า พม่า อินเดีย โดยศึกษาวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์เหล่านี้ผ่านการค้าขายในตลาดว่าการเข้ามาของความเป็นโลกสมัยใหม่ทำเกิดระบบการค้าขายแลกเปลี่ยนสินค้าจึงทำให้กลุ่มชาติพันธุ์เหล่านี้ต้องมีการปรับตัวมีการติดต่อค้าขายกับกลุ่มชาติพันธุ์อื่นๆที่อยู่ในสังคมเชียงตุงเช่นเดียวกับกลุ่มตนอีกทั้งในสังคมเชียงตุงการเลื่อมใสในพระพุทธศาสนาทำให้มีวัดอยู่มากมายในเชียงตุงและวัดจึงมีความสำคัญกับคนในสังคมเชียงตุงมากในการ
            งานเขียนสถาปัตยกรรม ค้นพบ  1 วิทยานิพนธ์  3 วารสาร 1 วิดีทัศน์
             1.   พระเจดีย์เมืองเชียงตุงตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน พิพัฒน์  หน่อขัด  (2551) 
            พบว่า วิทยานิพนธ์เรื่องนี้เป็นการศึกษารูปแบบการสร้างเจดีย์ในเมืองเชียงตุงตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันโดยมีเกณฑ์ในการแบ่งช่วงระยะเวลาทั้ง 2 ช่วง คือ กลุ่มเจดีย์เก่าและเจดีย์ใหม่ในช่วงปี พ..2500 เนื่องจากในปี พ..2498 มีการเปิดด่านพรมแดนท่าขี้เหล็กของรัฐบาลไทยและรัฐบาลพม่าเป็นเหตุให้มีการหลั่งไหลของวัฒนธรรมและรูปแบบศิลปะเจดีย์เข้าสู่เมืองเชียงตุงอีกครั้งหนึ่งจากประวัติศาสตร์ที่เมืองเชียงตุงได้รับเอาพระพุทธศาสนามาตั้งแต่ช่วงราวพุทธศตวรรษที่ 18 ในแต่ละช่วงเวลานั้นรูปแบบเจดีย์มีการเปลี่ยนแปลงไปตามปัจจัยด้านต่างๆมากมายรูปแบบของกลุ่มเจดีย์เก่าที่พบในสภาพปัจจุบันยังสะท้อนให้เห็นถึงแนวคิดของชุมชนที่มีต่อรูปแบบเจดีย์ที่ส่งผลมาถึงกลุ่มเจดีย์ที่สร้างขึ้นใหม่มีการรับรูปแบบและปรับเปลี่ยนให้เหมาะสมกับสภาพปัจจุบัน นอกจากนี้ รูปแบบเจดีย์ทรงแสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์ที่เกี่ยวเนื่องของรูปแบบศิลปะที่ได้รับอิทธิพลมาจาก  ศิลปะล้านนา  ศิลปะพุกามศิลปะลังกา  ศิลปะพื้นเมืองเชียงตุง
                 กลุ่มเจดีย์ที่ได้รับอิทธิพลศิลปะล้านนา
             กลุ่มเจดีย์กลุ่มใหญ่ที่แสดงความสัมพันธ์ทางด้านประวัติศาสตร์การเมืองการปกครองเมืองเชียงตุงคือกลุ่มเจดีย์ที่ได้รับอิทธิพลศิลปะล้านนาลักษณะร่วมของเจดีย์กลุ่มนี้ส่วนมากเป็นเจดีย์ที่มีหลักฐานทางประวัติศาสตร์เกี่ยวข้องกันระหว่างการนำศาสนาจากดินแดนล้านนาเข้ามาสู่เมืองเชียงตุงเป็นสำคัญรูปแบบของเจดีย์ล้านนาที่ได้แรงบันดาลใจแต่รูปแบบเจดีย์เมืองเชียงตุงในแต่ละยุคมีความแตกต่างกันออกไป รูปแบบเฉพาะของล้านนาในช่วงปลายถึงกลางพุทธศตวรรษที่ 21 คือนิยมทำฐานสูงส่วนฐานเป็นลวดลายบัวคว่ำบัวหงายพระวรกายค่อนข้างเรียบบางและเตี้ยพระอังสาใหญ่บั้นพระองค์เล็กพระเพลาค่อนข้างแคบนิยมทำนิ้วพระหัตถ์เดียวยาวปลายนิ้วพระหัตถ์ทั้ง 4 เสมอกันลักษณะนี้พบมากในพระพุทธรูปกลุ่มสกุลช่างเชียงราย   เชียงแสน ฝาง และเชียงของ
            กลุ่มเจดีย์ศิลปะที่ได้รับอิทธิพลพม่า
         เมืองเชียงตุงนั้นถือเป็นเมืองหนึ่งที่อยู่ภายใต้การปกครองของอาณาจักรพุกามเป็นและเวลาหลายร้อยปีเรื่อยมาจนถึงสมัยปัจจุบันนี้สำหรับหลักฐานเจดีย์เมืองเชียงตุงที่ได้รับอิทธิพลศิลปะพุกามนั้นกล่าวว่าในทางประวัติศาสตร์มีการสร้างมาตั้งแต่ยุคต้นของศิลปะเมืองพุกาม อาณาจักรพุกามในบางสมัยได้มีอิทธิพลเหนือดินแดนเมืองเชียงตุงรวมถึงอาณาจักรล้านนามีการปกครองที่ให้เจ้าฟ้าเมืองเชียงตุงเป็นผู้ปกครองและให้เสนาบดีจากเมืองพุกามเข้ามาปกครอง ทำให้มีเจดีย์รูปแบบศิลปะพุกามและศิลปะมอญ-พม่าอยู่มากมายในเมืองเชียงตุงเรื่อยมาจนถึงปัจจุบันที่เมืองเชียงตุงเป็นส่วนหนึ่งของพม่าเจดีย์ในรูปแบบศิลปะพุกามนั้นจึงยังคงได้รับการบูรณปฏิสังขรณ์มาโดยตลอดรวมทั้งการพัฒนารูปแบบเจดีย์ในเมืองเชียงตุงนั้นได้มีการนำศิลปะพุกามและศิลปะมอญแบบพม่ายุคหลังเข้ามาประกอบจนกลายเป็นการผสมผสานกันในศิลปะเจดีย์เมืองเชียงตุงอีกด้วย
               กลุ่มเจดีย์ที่เกี่ยวข้องกับศิลปะลังกา
             ในด้านรูปแบบของเจดีย์ที่เกี่ยวข้องกับศิลปะลังกานั้นเป็นเจดีย์ที่มีความแตกต่างไปจากเจดีย์แบบลังกาแท้แต่แสดงลักษณะที่คงเกี่ยวข้องกับศิลปะลังกามากกว่ากลุ่มอื่นๆโดยมีลักษณะที่ปรากฏในเมืองเชียงตุงคือการรักษาลักษณะขององค์ละครั้งที่มีขนาดใหญ่มีบัลลังก์ในถังสี่เหลี่ยมมียอดฉัตรที่แปลงมาแล้วเป็นลูกแก้วซึ่งลักษณะพิเศษของเจดีย์นี้ได้ส่งอิทธิพลต่อรูปแบบเจดีย์ทรงระฆังของดินแดนใกล้เคียงเป็นอย่างมากเช่นอาณาจักรมอญพุกาม การสร้างรูปแบบเจดีย์ แบบลังกาไม่พบมากในเมืองเชียงตุงแต่การสร้างเจดีย์รูปแบบศิลปะลังกาเข้ามาผสม ผสาน ศิลปะพื้นเมืองเชียงตุงนั้นเกิดขึ้นจากการให้ความสำคัญกับประเทศศรีลังกาโดยรูปแบบเจดีย์ที่คงเกี่ยวข้องกับศิลปะลังกาจะได้รับมาจากอาณาจักรพุกามอีกทอดหนึ่งหากพิจารณารูปแบบศิลปะแล้วความเป็นไปได้มากที่สุดคือการรับรูปแบบจากศิลปะเจดีย์สายเจดีย์ลังกาที่แผ่เข้ามาสู่ดินแดนพุกามในกลุ่มของเจดีย์ฉปัฏ โดยเจดีย์ในเชียงตุงที่ได้รับอิทธิพลจากลังกามีลักษณะร่วมของเจดีย์ร่วมกันคือมีการแสดงลักษณะเส้นลวดขนาดใหญ่คาดไว้ที่ฐานขององค์ระฆังมีตั้งแต่ 3 เส้นขึ้นไปซึ่งมีอยู่แล้วในศิลปะลังกาส่วนองค์ละครั้งนั้นเป็นองค์ระฆังขนาดใหญ่ที่ยังคงได้รับอิทธิพลมาจากศิลปะลังกาความพิเศษของเจดีย์ในกลุ่มนี้คือมีลวดลายปูนปั้นศิลปะเมืองเชียงตุงประดับเหนือส่วนบนขององค์ระฆังบัลลังก์
         2. พลวัตของสถาปัตยกรรมวัดไทยคือเมืองเชียงตุงรัฐฉานสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาร์ในบริบทกระแสโลกาภิวัตน์      ประสงค์ แสงงาม และ สุรสวัสดิ์ ศุขสวัสดิ์ 
       พบว่า งานวิจัยนี้เป็นการศึกษาการเปลี่ยนแปลงทางกายภาพของสถาปัตยกรรมวัดไทขึน เมืองเชียงตุงว่าปัจจัยใดที่มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงและการดำรงอยู่ของสถาปัตยกรรมวัดไทยในบริบทปัจจุบันทำให้ พบว่า สถาปัตยกรรมวัดเปลี่ยนแปลงมากตั้งแต่ พ.ศ. 2530 เป็นต้นมาโดยมากมีรูปแบบใกล้เคียงกับแบบเดิมก่อนกลางก่อสร้างใหม่วิหารอุโบสถและเจดีย์จะเปลี่ยนแปลงก่อนอาคารอื่นๆวัสดุและเทคนิคการก่อสร้างและช่างฝีมือมีผลต่อคุณลักษณะทางกายภาพของอาคารโดยตรงกระบวนการมีทั้งเกิดจากภายในคือชาวบ้านและองค์กรสูงของเมืองเชียงตุงกระบวนการภายนอกเกิดจากศรัทธาและเครือข่ายส่งข้ามพรมแดนมามีส่วนร่วมมากขึ้นภายหลังพม่าเปิดประเทศปัจจัยที่ส่งผล ได้แก่ปัจจัยทางตรงคือ 1.) การเสื่อมสภาพของอาคาร  2.) การเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อมและภูมิอากาศ  3.) ทรัพยากร 4.)  วัสดุก่อสร้างและช่างฝีมือ ส่วนปัจจัยทางอ้อมได้แก่  การเมืองการปกครอง  เศรษฐกิจและสังคม
      3. งานศิลปะสถาปัตยกรรมทางพุทธศาสนาแบบเชียงตุง  สืบศักดิ์ แสนยาเกียรติคุณ
   พบว่างานศิลปะสถาปัตยกรรมทางพระพุทธศาสนาในเชียงตุงนั้นเริ่มต้นขึ้นในศตวรรษที่ 19 มาตราบจนกระทั่งปัจจุบันโดยพบหลักฐานจากตำนาน พงศาวดาร หรือจารึกต่างๆงานศิลปะสถาปัตยกรรมทางพุทธศาสนามีจุดมุ่งหมายและสร้างสรรค์ขึ้นมาเพื่อให้พุทธศาสนิกชนให้รำลึกถึงพระพุทธคุณกับเพื่อประกอบการตอบสนองการใช้สอยในการประกอบพิธีกรรมและการอยู่อาศัยของพระภิกษุ องค์ประกอบพุทธสถานแบบเชียงตุงงานศิลปะสถาปัตยกรรมของพุทธสถานในเชียงตุงนั้นมีการสร้างบูรณปฏิสังขรณ์มาอย่างไม่ขาดสายก็เนื่องด้วยเป็นแนวทางปฏิบัติของพุทธศาสนิกชนชาวเชียงตุงที่ได้ยึดถือและกระทำสืบต่อกันมาจากรุ่นสู่รุ่นซึ่งการทำนุบำรุง ศาสนสถานของชาวเชียงตุงนั้นเห็นได้ชัดว่าส่งผลต่อองค์ประกอบภายในเขตพุทธสถานโดยผลงานจํานวน มากนั้นพบว่ามีการแต่งเติมและซ้อนทับกันมาหลายยุคสมัยสามารถจำแนกองค์ประกอบพุทธสถานแบบเชียงตุงได้ดังนี้วิหารเจดีย์และอุโบสถอาคารเสนาสนะประเภทดังกล่าวนี้เป็นสัญลักษณ์ทางพุทธศาสนาที่สร้างขึ้นมาไม้เป็นสิ่งว่าลึกถึงพระพุทธเจ้าและสถานที่สำหรับประกอบกิจหรือใช้สอยของพระภิกษุสงฆ์
        4.    ททบ 5 โลก 360 องศา เชียงตุง ตอนที่ 3 พระพุทธศาสนารุ่งเรืองที่เมืองเชียงตุง 
    เป็นวิดีทัศน์ที่ว่าด้วยพระพุทธศาสนาของเมืองเชียงตุงว่ามีความเจริญรุ่งเรืองและหยั่งรากลึกอยู่ในสังคมของเชียงตุงจนเป็นเมืองที่ได้รับการขนานนามว่า เมืองร้อยวัดแต่วัดต่างๆมากมายที่อยู่ในเมืองเชียงตุงในแต่ละวัดจะมีแนวคิดและคติความเชื่อในการสร้างวัดนั้นแต่ละที่แตกต่างกันออกไปเนื่องจากในสังคมเชียงตุงเป็นเมืองที่เต็มไปด้วยผู้คนหลากหลายชาติพันธุ์ดังนั้นรูปแบบในการออกแบบวัดจึงแตกต่างกันออกไป วัดของชาวไทเขินจะมีลักษณะที่แตกต่างออกไปจากวัดของชาวพม่าเพราะวัดของชาวไทเขินนั้นจะมีลักษณะสถาปัตยกรรมคล้ายคลึงกับชาวล้านนา กว่า 330 วัดในเมืองเชียงตุงส่วนใหญ่จะเป็นของชาวไทเขินหรือชาวไทใหญ่วิธีการที่เราสามารถจะรู้ได้ว่าวัดไหนเป็นของชาวไทเขินหรือไทใหญ่สังเกตได้จากถ้าวัดไหนขึ้นต้นด้วยคำว่า จองจะเป็นของชาวไทใหญ่ ถ้าวัดไหนขึ้นต้นด้วยคำว่า วัดจะเป็นของชาวไทเขินหรือวิธีสังเกตง่ายๆอีกวิธีหนึ่งก็คือ การสังเกตองค์พระประธานถ้าองค์พระพุทธรูปมีรูปแบบที่คล้ายเมืองไทยมากก็จะเป็นแบบชาวไทเขินแต่ถ้ามีลักษณะแปลกตาคล้ายๆกับพระพุทธรูปของชาวพม่าคือ วัดของชาวไทใหญ่
      5. พลวัตของเรือนพื้นถิ่นไทใหญ่ในพื้นที่ร่วมทางภูมิศาสตร์ในอุษาคเนย์ : ไทย เมียนมาร์ ลาว (2557) 
อรศิริ ปาณินท์  พบว่า เป็นบทความวิจัยที่ศึกษาเปรียบเทียบเรือนพื้นถิ่นในชุมชนไทยใหญ่ที่ตั้งถิ่นฐานในพื้นที่ร่วมทางภูมิศาสตร์ในอุษาคเนย์ประกอบด้วยไทย เมียนมาร์ จีนและอินเดียซึ่งตั้งอยู่ในพื้นที่ระหว่างเส้นรุ้งที่ 18 องศาเหนือถึง 28 องศาเหนือ โดยศึกษากรณี อันประกอบไปด้วยเรือนไทยใหญ่ในจังหวัดแม่ฮ่องสอนของไทยในเชียงตุงรัฐฉานของพม่า  ในแคว้นมาวแคว้นใต้คงของจีน และในเมืองสิวะสาครรัฐอัสสัมของอินเดีย โดยต้องการศึกษาว่าเรือนไทยใหญ่ในพื้นที่ต่างๆเหล่านี้มีความเหมือนหรือแตกต่างอย่างไรบ้างวัฒนธรรมหลักในแต่ละพื้นที่สามารถทอดเงาปกคลุมอัตลักษณ์เดิมให้แปรผันไปได้หรือไม่อย่างไร  ผลการศึกษาปรากฏว่าเรือนไทใหญ่ในเมืองแม่ฮ่องสอนของไทยและในเชียงตุงรัฐฉานของเมียนมาร์อยู่ท่ามกลางวัฒนธรรมไทยวน ไทเขินซึ่งคล้ายคลึงกันกับวัฒนธรรมการอยู่อาศัยของไทใหญ่อีกทั้งศาสนาและความเชื่อก็เป็นพุทธศาสนาแบบหินยาน เช่นเดียวกัน มีความเปลี่ยนแปลงจากเดิมน้อยมากยังคงรูปแบบเรือนไม้ใต้ถุนสูงหลังคาจั่วหรือจั่วปั้นหยาบนผังพื้นที่เป็นระบบเดียวกันคือบันไดขึ้นหน้าเดือนไปยังชั้นบนสู่ชานหน้าเรือนใต้หลังคาคลุมและเข้าสู่โถงภายในที่แบ่งเป็นสองฟากฟากหนึ่งเป็นโถงกลางที่ประดิษฐาน เข่งพะลา (หิ้งพระ) อีกฟากหนึ่งเป็นส่วนนอนที่มีปริมาณน้อยมากตามขนาดของครอบครัวและปิดท้ายด้วยส่วนครัวและชานซักล้างเรือนไทใหญ่ในไทยและเมียนมาร์ต่างได้รับอิทธิพลจากเรือนไทยวน ไทเขินซึ่งเป็นวัฒนธรรมหลักของพื้นที่แต่เนื่องจากทางวัฒนธรรมหลักและรองต่างๆก็มีลักษณะร่วมกันมากมายทำให้เรือนไทใหญ่ในไทยและเมียนมาร์ต่างยังคงรูปลักษณ์เดิมอยู่เป็นส่วนใหญ่ แต่เรือนไทใหญ่ในเมืองมาว แคว้นใต้ของสาธารณรัฐประชาชนจีนซึ่งดำรงอยู่ท่ามกลางกระแสวัฒนธรรมหลักของจีนยังสามารถคงรูปแบบผังพื้นและรูปทรงที่เป็นเรือนยกพื้นใต้ถุนสูงอยู่ได้เป็นบางกลุ่ม หลังคายังคงเป็นจั่วปั้นหยาแต่ความเอียงลาดของหลังคาต่ำแบบเรือนจีนและปัจจุบันนิยมกั้นชั้นล่างเพื่อใช้งานต่อเนื่องกับพื้นดินเช่นเดียวกับเรือนจีนวัฒนธรรมการอยู่แบบจีนครอบคลุม เรือนไทใหญ่ไปกว่าครึ่ง ส่วนเรือนไทอาหม หรือไทใหญ่ในอินเดียนั้นปรากฏว่าวัฒนธรรมฮินดูซึ่งเป็นกระแสหลักในพื้นที่ ได้ทอดเงาครอบคลุมเรือนอย่างมืดมิดไม่มีเค้ารูปของเรือนดั้งเดิมที่เป็นเรือนไม้ใต้ถุนสูงเลยแม้แต่น้อยกลับกลายเป็นเรือนหลังคาจั่วชั้นเดียวติดพื้นดินมีชายคาระเบียงข้างเรือนตัวเรือนเข้าจากระเบียงด้านข้างภายในตัวเรือนแบ่งเป็น 3 ส่วนคือโถงส่วนนอนและครัว  เรียงตามลำดับความยาวของเรือนภายในโถงไม่มี เข่งพะลา (หิ้งพระ) แบบเรือนไทยใหญ่อีก 3 แหล่ง เห็นได้ชัดว่าวัฒนธรรมกระแสหลักในแต่ละพื้นที่ได้ทอดเงาครอบคลุมลักษณะของเรือนไทใหญ่ในไทย  เมียนมาร์  จีนและอินเดียตั้งแต่ครอบคลุมน้อยในไทยและเรียงมาจนถึงมากในจีนและมากที่สุดในอินเดีย

       สรุป  จากวารสารทั้งเรื่องเกี่ยวกับศิลปะและสถาปัตยกรรมเชียงตุงนั้นชี้ให้เห็นว่า ในอดีตเมืองเชียงตุงเป็นเมืองที่มีประวัติศาสตร์และพัฒนาการทางการเมืองร่วมกับเมืองเชียงใหม่ทางด้านการปกครอง การเมือง เศรษฐกิจตลอดจนผู้คนและวัฒนธรรมจึงทำให้ได้รับอิทธิพลต่างๆมาจากล้านนา โดยเฉพาะพุทธศาสนาทำให้รูปแบบสถาปัตยกรรมวัดมีความคล้ายคลึงกับล้านนาโดยศาสนาพุทธที่มีอิทธิพลเป็นอย่างมากเห็นได้จากการมีอยู่ของวัดในหลายร้อยวัดในชุมชนเมืองเชียงตุงการสร้างสถาปัตยกรรมของวัดเองก็สะท้อนให้เห็นถึงอัตลักษณ์ของแต่ละกลุ่มชาติพันธุ์อย่างในงานเขียนวารสารของ อรศิริ ปาณินท์  เรื่องพลวัตของเรือนพื้นถิ่นไทใหญ่ในพื้นที่ร่วมทางภูมิศาสตร์ในอุษาคเนย์ : ไทย เมียนมาร์ ลาว เมื่อปี 2557 นั้นส่งอิทธิพลต่องานเขียนของเชียงตุงในด้านชาติพันธุ์ของ ภัควี วงศ์สุวรรณ และ เกรียงไกร เกิดศิริ  วารสารเรื่อง คุณลักษณะของเรือนพื้นถิ่นชาวไทเหนือหมู่บ้านหนองเงินเมืองเชียงตุงรัฐฉานเมียนมาร์ในปี พ..2558  ที่ทำให้เห็นว่าการสร้างสถาปัตยกรรมในเชียงตุงนั้นมีความเกี่ยวโยงกับชาติพันธุ์ตรงที่กลุ่มชาติพันธุ์มีการถูกกลืนทางวัฒนธรรมโดยเกิดจากพื้นที่ที่ตนอาศัยอยู่มีกระแสของวัฒนธรรมหลักทำให้เกิดการครอบงำทางวัฒนธรรมนำไปสู่เทคนิคการสร้างบ้านเรือนที่มีการเปลี่ยนแปลงโดยมีการสร้างบ้านเรือนให้เหมาะสมกับพื้นที่อยู่อาศัยของกลุ่มตนรวมไปถึงความเป็นพลวัตนั้นทำให้การสร้างสถาปัตยกรรมของเชียงตุงมีเทคนิคและรูปแบบที่เปลี่ยนแปลงถึงแม้ว่าในปัจจุบันองค์ประกอบหลักของพุทธสถานแบบเชียงตุงยังคงอยู่แต่ก็มีการสร้างอาคารใหม่เพิ่มขึ้นตามความต้องการการใช้สอยพื้นที่จึงมีการบูรณะและซ่อมแซม แต่งเติมซ้อนทับอยู่เรื่อยมาจนทำให้คุณลักษณะหรือองค์ประกอบบางอย่างของสถาปัตยกรรมมันเปลี่ยนแปลงไปจากอดีต
            งานเขียนด้านการท่องเที่ยว ค้นพบ 1 วารสาร 2 วิดีทัศน์        
           1. ททบ 5 โลก 360 องศา วิดีทัศน์เรื่อง เชียงตุง (2559) ตอนที่1 หลงรักเข้าแล้วเมื่อได้มาแอ่วเชียงตุง
      พบว่า เชียงตุงตั้งอยู่ในรัฐฉานของประเทศเมียนมาร์ ซึ่งสามารถเดินทางจากประเทศไทยผ่านทางด่านอำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงรายเป็นระยะประมาณ 160 กิโลเมตร ผู้คนในเชียงตุงส่วนใหญ่ประกอบอาชีพทางการเกษตร ร่อนทองและขุดทราย และหากกล่าวถึงความเป็นมาของเชียงตุง กล่าวได้ว่าเชียงตุงเป็นเมืองที่มีประวัติความเป็นมานานนับพันปีจึงมีตำนานเล่าขานที่มาของชื่อมากมายหนึ่งในนั้นคือตำนานที่กล่าวถึง ตุงคฤาษี ว่าเป็นผู้สร้างพระธาตุคู่บ้านคู่เมืองที่มีชื่อว่า พระธาตุบ้านเมือง โดยตุงคฤาษีองค์นี้ได้แสดงอิทธิฤทธิ์โดยการทำให้เมืองเชียงตุงรอดพ้นจากภัยพิบัติน้ำท่วมด้วยการสร้างหนองน้ำขนาดใหญ่และสิ่งนี้ก็ได้กลายมาเป็นชื่อเมืองเชียงตุงในเวลาต่อมา นอกจากนั้นที่พระธาตุยังเป็นจุดสำคัญที่สามารถเห็นแม่น้ำขืนไหลผ่านในลักษณะคดเคี้ยวคล้ายพญานาคเลื้อยมาสักการะพระธาตุบ้านเมืองอีกด้วย เชียงตุงถือเป็นเมืองหนึ่งที่เต็มไปด้วยผู้คนหลากหลายชาติพันธุ์แต่กลุ่มชาติพันธุ์หลักที่อาศัยอยู่ในเชียงตุงก็คือ ชาวไทเขิน รองลงมาคือ ชาวไทใหญ่ ในอดีตชาวไทเขินถือว่าเป็นชนชั้นปกครองของเชียงตุงและมีระบอบการปกครองแบบระบบกษัตริย์แต่เมื่อเมียนมาร์มีการเปลี่ยนทางการเมืองจึงทำให้ระบบกษัตริย์ของเชียงตุงเลือนหายไป ในด้านสังคมของเชียงตุงนั้นถึงแม้ว่าในโลกปัจจุบันจะมีการเข้ามาของความเป็นสมัยใหม่ บริโภคนิยม วัตถุนิยม  การมีอุตสาหกรรม ห้างสรรพสินค้า แต่ที่เชียงตุงไม่มีอุตสาหกรรม ไม่มีห้างสรรพสินค้าข้าวของเครื่องใช้ส่วนใหญ่ที่เชียงตุงเป็นสินค้าทางการเกษตรทำให้ในสังคมของชาวเชียงตุงความเป็นสมัยใหม่ไม่ได้เข้ามาเปลี่ยนแปลงคนเชียงตุงในเรื่องของการติดบริโภคนิยมคนเชียงตุงยังคงดำรงชีวิตแบบเรียบง่ายและไม่ฟุ้งเฟ้อและในสังคมเชียงตุงยังมีคนกลุ่มหนึ่งที่อาศัยอยู่ในสังคมของเชียงตุง คือ กลุ่มคนมุสลิมป่าแดง ที่ในเชียงตุงมีการก่อตั้งกันเป็นชุมชนมุสลิมถึง 250 ครัวเรือน มีมัสยิสเชียงตุงที่มีอายุเก่าแก่ถึง 130 ปีที่คนมุสลิมในชุมชนนี้ใช้เป็นที่ประกอบพิธีกรรมทางศาสนาและเป็นโรงเรียนสอนทางศาสนาให้กับเด็กๆในชุมชนโดยไม่เสียค่าใช้จ่ายโดยเด็กส่วนใหญ่ที่เข้ามาเรียนส่วนใหญ่คือ ชาวมุสลิมเชื้อสายจีน มุสลิมเชื้อสายบังกลาเทศ มุสลิมไทใหญ่ มุสลิมอาข่า มุสลิมลาหุ ตามลำดับ นอกจากมุสลิมแล้วในเชียงตุงยังมีคนที่นับถือศาสนาคริสต์อยู่ด้วยซึ่งส่วนใหญ่เป็นชาวเขามีโบสถ์ที่ใหญ่ที่สุดในเชียงตุงที่ชื่อว่า RCM Church ที่สร้างขึ้นตั้งแต่ตอนที่ยังเป็นอาณานิคมตะวันตกในโบสถ์จะมีโรงเรียนสอนหนังสือให้กับเด็กๆอีกด้วยทำให้เห็นถึงความเป็นพหุทางวัฒนธรรมและทางศาสนาและสังคมของเชียงตุงได้เป็นอย่างดี
        2.  ททบ 5 โลก 360 องศา วิดีทัศน์เรื่อง เชียงตุง (2559) ตอนที่ 2 วิถีเชียงตุง พบว่า ประวัติศาสตร์อันยาวนานและอารยธรรมต่างๆที่สับเปลี่ยนหมุนเวียนกันเข้ามามีบทบาทในประเทศเมียนมาร์ได้หล่อหลอมให้คนในภูมิภาคต่างๆของคนในประเทศนี้มีวัฒนธรรมที่หลากหลายและมีวิถีชีวิตที่มีเอกลักษณ์และความหลากหลายแตกต่างของผู้คนตามภูมิภาคต่างๆนี้ก็ได้ทำได้ในแต่ละบริเวณพื้นที่มีกฎระเบียบที่แตกต่างกันไปการที่เราจะเข้าไปท่องเที่ยวตามรัฐต่างๆนั้นจึงต้องตรวจสอบก่อนว่าเราสามารถเข้าไปท่องเที่ยวยังเมืองไหนได้บ้างและจะต้องใช้เอกสารอะไรบ้าง รัฐฉานเองก็มีกฎและไม่ได้อนุญาตให้นักท่องเที่ยวเข้าไปได้ทุกที่แต่พื้นที่ในเมืองเชียงตุงนั้นอนุญาตให้นักท่องเที่ยวโดยเฉพาะนักท่องเที่ยวที่เป็นคนไทยที่มีวีซ่าหรือหนังสือผ่านแดนสามารถเข้าไปท่องเที่ยวได้อย่างราบรื่น วิถีชีวิตของชาวเชียงตุงส่วนใหญ่เป็นวิถีชีวิตที่เรียนง่ายโดยมีการประกอบอาชีพเกษตรกร ปลูกผัก เลี้ยงเป็ด เลี้ยงไก่ บ้านเรือนของผู้คนนิยมสร้างด้วยไม้และอิฐยกพื้นสูงและจะไม่มีการฝังเสาลงดินแต่นิยมใช้หินมารองฐานเพื่อกันปลวกกินเสาแสดงให้เห็นภูมิปัญญาของชาวบ้านแต่ถ้าหากคนที่ตังสักหน่อยนึงก็จะสร้างบ้านด้วยอิฐเพื่อความแข็งแรงของตัวบ้าน   ในหมู่บ้านแห่งหนึ่งที่ชื่อยางขวายหนึ่งในชุมชนของชาวไทเขินโบราณที่ยังคงอนุรักษ์วิถีชีวิตในแบบดั้งเดิมเอาไว้ได้หมู่บ้านชาวไทเขินแห่งนี้ มีความหมายว่า ยังคอย ในภาษาไทยชื่อนี้มีที่มาโดยมาจากตำนานมาจากที่หญิงสาวรอคอยคนรักของตนที่ให้คำมั่นสัญญาว่าจะกลับมาหาแต่เมื่อเวลาผ่านไปเป็นเวลานานชายหนุ่มก็ไม่กลับมาหาหญิงสาวตามสัญญาจึงเป็นที่มาของชื่อผู้บ้าน ยางขวาย หรือที่แปลว่ายังคอยนั้นเอง  ในเชียงตุงนั้นมีวัดอยู่มากมายซึ่งแต่ละวัดก็จะมีเอกลักษณ์ที่แตกต่างกันไปโดยวัดที่มีขนาดใหญ่ในเชียงตุงนอกจากจะเป็นศูนย์รวมจิตรใจของคนเชียงตุงและใช้ดำเนินกิจกรรมทางศาสนาแล้วนั้นวัดในเชียงตุงที่มีขนาดใหญ่จะใช้เป็นสถานที่ทำการศึกษาให้ความรู้ในแขนงต่างๆหนึ่งในนั้นคือ การเผยแพร่วัฒนธรรมของชาวไทเขินโดยมีการเรียนภาษาไทเขินและภาษาไทย อีกทั้งยังการฟื้นฟูศิลปะการร่ายรำของชาวไทเขินและการเล่นเครื่องดนตรีของไทเขินทำให้คนรุ่นใหม่เห็นคุณค่าของศิลปะการฟ้อนรำของชาวไทเขินโยที่กล่าวมาจะใช้วัดเป็นสถานที่ประกอบการแสดงทำให้ว่าวิถีชีวิตของคนเชียงตุงผูกพันกับวัดและศาสนาและแสดงให้เห็นว่าวัดในเชียงตุงเป็นกำลังสำคัญในการฟื้นฟูและรักษาวัฒนธรรมของชาวเชียงตุง
           3.     การท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมแม่สาย เชียงตุง  ปทุมพร   แก้วคำ (2555)    เป็นบทความวิชาการที่มีการเปรียบเทียบการท่องเที่ยวในอำเภอแม่สาย ประเทศไทยและ เชียงตุง ประเทศเมียนมาร์ เป็นการท่องเที่ยวในเชิงวัฒนธรรมเนื่องด้วยมีความเกี่ยวข้องระหว่างเชียงตุงกับล้านนาอันเนื่องมาจากมีผู้สถาปนาเป็นบุคคลเดียวกัน คือ พระยาเม็งราย จึงส่งผลให้ ศิลปวัฒนธรรม ความเป็นอยู่ การกิน ตลอดจนลักษณะนิสัยที่มีความคล้ายคลึงกันของทั้งสองทำให้พบว่า แม่สายเป็นเมืองการค้าชายแดนที่สำคัญระหว่างไทยพม่าและจีนในอดีตแม่สายเคยเป็นหมู่บ้านเล็กๆอยู่บนเส้นทางระหว่างเมืองเชียงตุงและเมืองต่างๆของชาวไตในรัฐฉานก่อนที่พม่าจะเข้าครอบครองเทือกเขาแดนลาวมีช่องผ่านระหว่างไทยกับพม่าอยู่หลายแห่งบริเวณท่าขี้เหล็กกับแม่สายเป็นเส้นทางติดต่อระหว่างเชียงแสน แม่จัน และแอ่งเชียงใหม่ ลำพูนไปสู่เมืองทางตอนเหนือในรัฐฉานของเมียนมาร์ถึงแม้ว่าแม่สายได้กลายเป็นเมืองที่ขยายตัวอย่างรวดเร็วเป็นแหล่ง   ช้อปปิ้งซื้อขายสินค้าแต่ยังมีสถานที่ท่องเที่ยวทางวัฒนธรรมจากมรดกทางวัฒนธรรมที่มีการสืบทอดต่อกันมาหลายชั่วอายุคน จากผ้าที่พันและมรดกทางวัฒนธรรมที่เกิดจากการผสมผสานทางวัฒนธรรมดั้งเดิมและวัฒนธรรมการกินข้าวแรมฟืนหรือข้าวแรมคืนซึ่งเป็นอาหารชนิดหนึ่งที่มีรสเปรี้ยวเผ็ดหวานเป็นอาหารว่างและอาหารหลักอาหารคาวและอาหารหวานซึ่งเป็นมังสวิรัติเป็นที่นิยมในกลุ่มของชาติพันธุ์และชุมชนในพื้นที่ และถ้าหากอยากจะเดินทางเพื่อท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมของเชียงตุงนั้นสามารถเดินทางผ่านถนนท่าขี้เหล็กของเมียนมาร์ซึ่งอยู่กับด่านอำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงรายระยะทางประมาณ 164 กิโลเมตรใช้เวลา 5 ชั่วโมง ระบบเดินรถแบบวิ่งชิดขวาระหว่างทางต้องผ่านด่านชั่งน้ำหนักรถ 3 ด่าน ได้แก่ ด่านท่าขี้เหล็ก ด่านท่าสี่ และด่านเชียงตุง ซึ่งจะเสียค่าบริการตามน้ำหนักรถอย่างไรก็ตามระหว่างทางยังมีด่านอื่นๆอีกประมาณ 4-5 ด้านเป็นด่านทหารและด่านตรวจตรวจคนเข้าเมือง มีการเก็บเงินค่าผ่านทาง ตรวจเช็คเอกสารผ่านแดนและประทับตราเพื่อผ่านด่านดังนั้นหากนักท่องเที่ยวไม่ได้ประทับตราผ่านด่านใดด่านหนึ่งจะไม่อนุญาตให้ผ่านโดยเด็ดขาดเมื่อผ่านเข้าไปยังเมืองเชียงตุงได้แล้วตลอดเส้นทางจะเป็นพื้นที่เกษตรกรรมสลับกับพื้นที่ชุมชนชาวไตในขณะพื้นที่พื้นที่สูงจะเป็นที่อยู่อาศัยของชนเผ่าอาข่า มูเซอส่วนใหญ่จะนับถือศาสนาคริสต์และมักจะพบโบสถ์ตั้งอยู่ในเขตหมู่บ้าน ถ้าหากกล่าวถึงวัฒนธรรมที่เชียงตุงมีคล้ายกับแม่สายแล้วนั้นกล่าวได้ว่า คือ วัฒนธรรมการกิน ที่อาหารมีลักษณะที่ใกล้เคียงกับชุมชนในอำเภอแม่สายซึ่งยังพบข้าวซอย ข้าวแรมฟืน ถั่วเน่า ก๋วยเตี๋ยว ลูกชิ้น ข้าวหลาม โรตีโอ่ง (ใช้วิธีการอบจากเตา) สภาพของสังคมและวัฒนธรรมซึ่งสิ่งเหล่านี้จะเห็นได้ชัดจากตลาดของเมืองเชียงตุงที่มีผู้คนหลากหลายชนเผ่า เชื้อชาติที่ค้าขายและซื้อสินค้าในบริเวณนั้น
       สรุป  การเดินทางเข้าไปยังเมืองเชียงตุงในยุคเปิดเสรีด้านการท่องเที่ยวของรัฐบาลพม่า สามารถเดินทางจากอำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย ซึ่งเป็นชายแดนที่อยู่ติดกับเชียงตุงรัฐฉานพม่า โดยใช้เส้นทางท่าขี้เหล็กท่าเดื่อก็สามารถเดินทางข้ามประเทศไปได้แล้ว เมื่อไปถึงเชียงตุงสิ่งแรกที่จะสังเกตเห็นได้ ตลอดระยะเวลาของการเดินทาง คือสองข้างทางจะเต็มไปด้วยทุ่งนา มันบ่งบอกว่าผู้คนส่วนใหญ่ในเชียงตุงดำรงชีวิตด้วยการประกอบอาชีพทำเกษตรกร และดำเนินชีวิตโดยการปลูกผักและเลี้ยงสัตว์ เป็นการดำเนินชีวิตที่เรียบง่าย และวิถีชีวิตของคนเชียงตุง ก็มี วัฒนธรรมอันคล้ายคลึง ผู้คน ในแม่สาย จังหวัดเชียงราย ของประเทศไทย เช่นวัฒนธรรมการกิน อย่างการกินข้าวแรมฟืนซึ่ง ในแม่สายเองก็มีการบริโภคข้าวแรมฟืนอยู่เช่นกัน สะท้อนให้เห็นถึงรากเหง้าทางประวัติศาสตร์ ที่มีร่วมกันระหว่างคนเชียงตุง กับคนเชียงราย ในสมัยที่เป็นอาณาจักรล้านนา  
          สรุปงานเขียนทั้งหมด
    กล่าวสรุปได้ว่าจากการสำรวจความรู้เกี่ยวกับเชียงตุง รัฐฉาน ประเทศเมียนมาร์ในไทยนั้นได้ค้นพบทั้งเอกสารทางวิชาการ วิทยานิพนธ์ วารสาร และวิดีทัศน์ที่เกี่ยวกับเชียงตุงทำให้ว่าในประเด็นการเขียนทบทวนที่แบ่งหัวข้อการทบทวนออกเป็น 4 ประเด็นนั้นในงานเขียนด้านสถาปัตยกรรมของ อรศิริ ปาณินท์ ที่เขียนเรื่องพลวัตของเรือนพื้นถิ่นไทใหญ่ในพื้นที่ร่วมทางภูมิศาสตร์ในอุษาคเนย์ : ไทย เมียนมาร์ ลาว ที่เขียนขึ้นในปี 2557 นั้นส่งอิทธิพลต่องานเขียนในด้านชาติพันธุ์ของ ภัควี วงศ์สุวรรณและเกรียงไกร เสดศิริ เรื่องคุณลักษณะของเรือนพื้นถิ่นทางไทเหนือของหมู่บ้านหนองเงิน เมืองเชียงตุง รัฐฉาน เมียนมาร์ ในปี 2558 โดยในงานเขียนเกี่ยวกับเชียงตุงทั้ง 4 ประเภทไม่ว่าจะเป็นด้านประวัติศาสตร์ ด้านชาติพันธุ์  ด้านการท่องเที่ยว ด้านสถาปัตยกรรมนั้นงานเขียนด้านสถาปัตยกรรมของเชียงตุงจะมีมากที่สุดโดยงานเขียนในด้านสถาปัตยกรรมและงานเขียนในด้านนี้นั้นจะสะท้อนให้เห็นว่าสถาปัตยกรรมในเชียงตุงได้รับอิทธิพลส่วนใหญ่มากจากล้านนาและอิทธิพลของศาสนาพุทธทำให้มีวัดมากมายในเชียงตุงสถาปัตยกรรมต่างๆอย่างวัดมีความเกี่ยวเนื่องและเชื่อมโยงถึงจิตวิญญาณของกลุ่มชาติพันธุ์ในเชียงตุงไม่ว่าจะเป็นชาวไทใหญ่ ไทเขิน ฯลฯ ล้วนมีประวัติศาสตร์ผูกพันมากับพระพุทธศาสนาถึงแม้ว่าการเข้ามาของความเป็นสมัยใหม่จะทำให้การดำเนินชีวิตของคนในเชียงตุงจะเปลี่ยนไปบ้างแต่ผู้คนในสังคมเชียงตุงก็สามารถที่จะปรับตัวและอยู่ร่วมกันในสังคมได้โดยที่พระพุทธศาสนาไม่เสื่อมถอยลงแม้แต่น้อยในปัจจุบันแม้ว่าประเทศเมียนมาร์ได้มีการเปิดประเทศเป็นเสรีมากขึ้นทำให้เชียงตุงมีงานเขียนนำเสนอด้านการท่องเที่ยวเริ่มมีปรากฏขึ้นให้เห็นและศึกษาในเรื่องของการท่องเที่ยวในหลายมิติต่างๆไม่ว่าจะเป็นเชิงวัฒนธรรมหรือวิถีชีวิตก็ทำให้เห็นเชียงตุงในหลายๆด้านว่าเป็นสังคมที่ยังคงอนุรักษ์วัฒนธรรมดั้งเดิมเอาไว้ได้อยู่และยังคงใช้ชีวิตแบบเรียบง่ายผู้คนนิยมประกอบอาชีพเกษตรกรรมและสุดท้ายงานเขียนในด้านงานเขียนประวัติศาสตร์ของเชียงตุงทำให้เห็นมิติของเชียงตุงในด้านของการให้ความสำคัญของประวัติศาสตร์การทำศึกเชียงตุงของทั้งสองประเทศอย่างไทยและเมียนมาร์ว่ามีการให้ความสำคัญของศึกเชียงตุงที่ไม่เหมือนกันและสาเหตุที่แท้จริงอีกด้านของการที่สยามทำศึกกับเชียงตุง

ข้อเสนอแนะ
   1. การสำรวจความรู้เกี่ยวกับเชียงตุงในไทยครั้งนี้ทำให้ทราบว่างานเขียนในด้านประวัติศาสตร์เกี่ยวกับเชียงตุงนั้นมีน้อยและเป็นงานเขียนที่เน้นประวัติศาสตร์เชียงตุงในด้านของการทำศึกสงครามนั้นก็คือศึกเชียงตุงที่มีความเกี่ยวข้องกับไทยเพราะสยามมีการยกทัพไปตีเมืองเชียงตุงในสมัยรัชกาลที่ 3 ทำให้ไม่เห็นมิติทางด้านประวัติศาสตร์ของเมืองเชียงตุงในด้านอื่นที่มีความหลากหลายมากกว่านี้
      2. ในวิดิทัศน์เกี่ยวกับความรู้เมืองเชียงตุงที่นั้นมีจำนวนน้อยส่วนใหญ่แล้ววิดิทัศน์ที่ค้นพบจะเป็น Vlog ที่ Youtuber ทำขึ้นทำให้ไม่สามารถแสดงให้เห็นถึงความรู้เกี่ยวกับเชียงตุงที่มากนัก 




อ้างอิง
รัตนพร เศรษฐกุล.(2558). การเมืองข้ามฝั่งโขง : ความสัมพันธ์ระหว่างน่านและสิบสองปันนา, วารสารวิจิตรศิลป์ ปีที่ 6 ฉบับที่ 1 มกราคม-มิถุนายน.
รัตนพร เศรษฐกุล.(มปป).ศึกเชียงตุง : การเปิดแนวรบเหนือสุดแดนสยามในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว.
สุเนตร ชุตินธรานนท์. (มปป). ศึกเชียงตุงในวรรณกรรมพม่า.
ปทุมพร   แก้วคำ.(2555).การท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมแม่สาย เชียงตุง.วารสารวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฎเชียงราย ปีที่ 7 ฉบับที่1 ( มกราคม มิถุนายน 2555) .
โลก 360 องศา เชียงตุง ตอนที่ 1 หลงรักเข้าแล้วเมื่อได้มาแอ่วเชียงตุง   ช่อง ททบ5  https://www.youtube.com/watch?v=NcWA9U5Is20.
โลก 360 องศา เชียงตุง ตอนที่ 2 วิถีเชียงตุง ช่อง ททบ5   https://www.youtube.com/watch?v=91v3120xKCA.
รักฎา  เมธีโภคพงษ์. (มปป). วัดและชุมชนไทใหญ่ในเมืองเชียงตุง. หลักสูตรสหวิทยาการสังคมศาสตร์และคณะมนุษย์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฎเชียงใหม่.
ดุจฤดี คงสุวรรณและเสมอชัย พูลสุวรรณ.(2561). พลวัตของกาดเมืองเชียงตุงในบริบทการค้าและความเป็นชาติพันธุ์. วารสารสังคมศาสตร์วิชาการ ปีที่11 ฉบับที่ 3 กันยายน-ธันวาคม.
พิพัฒน์  หน่อขัด.(2551). พระเจดีย์เมืองเชียงตุงตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน.วิทยานิพนธ์ มหาวิทยาลัยศิลปากร.
ประสงค์ แสงงาม และ สุรสวัสดิ์ ศุขสวัสดิ์ .(2559). พลวัตของสถาปัตยกรรมวัดไทยคือเมืองเชียงตุงรัฐฉานสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาร์ในบริบทกระแสโลกาภิวัตน์. วารสาร ฉับบที่ 30 มกราคม-ธันวาคม.
สืบศักดิ์ แสนยาเกียรติคุณ. (มปป). งานศิลปะสถาปัตยกรรมทางพุทธศาสนาแบบเชียงตุง.วารสารวิจิตรศิลป์.
อรศิริ ปาณินท์.(2557).พลวัตของเรือนพื้นถิ่นไทใหญ่ในพื้นที่ร่วมทางภูมิศาสตร์ในอุษาคเนย์ : ไทย เมียนมาร์ ลาว.วารสารวิชาการคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร.ฉบับที่ 28.