วันพุธที่ 28 ตุลาคม พ.ศ. 2563

ถ้ำกองลอ ความงามแห่งแขวงคำม่วน

     สวัสดีผู้อ่านทุกคนค่ะ กลับมาพบกันอีกครั้งกับบล็อกความรู้และความสนุกสนานเกี่ยวกับประเทศต่าง ๆ ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ แน่นอนว่าในทุกครั้งที่เราพบกันนั้นมักจะมาพร้อมกับเรื่องราวดี ๆ ให้ผู้อ่านในอ่านเสมอ ในวันนี้เราจะพาผู้อ่านทุกคนไปกับความสวยงามของประเทศเพื่อนบ้านของเราอย่างประเทศลาวกันค่ะ พูดถึงประเทศลาวแล้วนั้นหลายคนคงนึกถึงสถานที่ท่องเที่ยวที่สวยงามทางธรรมชาติไม่ออกเนื่องจากสถานที่ท่องเที่ยวยอดฮิตของหลายคนเมื่อไปท่องเที่ยวลาวนั้นเป็นวัดวาอารามเป็นส่วนใหญ่เนื่องจากคนลาวนั้นนับถือศาสนาพุทธและเคารพศาสนาพุทธเป็นอย่างมากจึงทำให้สถานที่ท่องเที่ยวทางธรรมชาติอย่างถ้ำต่าง ๆ คงจะนึกไม่ออกว่ามีที่ไหนบ้างที่ควรท่องเที่ยว ดังนั้นในวันนี้เราจะมาแนะนำถ้ำแห่งหนึ่งในลาว แขวงคำม่วนที่สวยงามและโดดเด่นถึงมีคำเรียกขานถ้ำแห่งนี้ว่า ถ้ำน้ำลอดกองลอ เส้นทางคมนาคมใต้พิภพที่สวยที่สุดในโลกแห่งเมืองลาวกันค่ะ


        ที่เที่ยวทางธรรมชาติอย่าง ถ้ำกองลอ เป็นหนึ่งในจุดหมายปลายทางที่ควรค่าแก่การเดินทางไปเช็คอินเป็นอย่างมากเนื่องจากความงดงามที่ถูกสร้างขึ้นโดยธรรมชาติอย่างสวยงามตระการตาเป็นอย่างมาก ซึ่งนักท่องเที่ยวที่ได้ไปนั้นจะได้นั่งเรือลอดถ้ำขนาดใหญ่ที่เต็มไปด้วยโขดหินหงอกหินย้อยจำนวนมากมากท่ามกลางแสงไฟนีออน บรรยากาศภายในถ้ำนั้นเงียบสงบ นอกจากนั้นความพิเศษของถ้ำแห่งนี้คือเป็นเส้นทางการคมนาคมที่ชาวบ้านในระแวกนั้นใช้คมนาคมอยู่ทุกวันอีกด้วย เนื่องจากบริเวณปากถ้ำอีกด้านหนึ่งเป็นหมู่บ้านนาตาล ที่ถูกปิดล้อมไปด้วยภูเขาสูงใหญ่โดยไม่มีถนนเข้าออกจึงเป็นเหตุให้ชาวบ้านใช้เส้นทางนี้ในการคมนาคมนั้นเองค่ะ
    
       
             การเดินทาง  
    - ถ้ำน้ำลอดกองลอตั้งอยู่บ้านกองลอ แขวงคำม่วน จากท่าแขก ไปตามถนน หมายเลข 13 เลี้ยวขวาที่แยกหลักขาวไปตามถนนหมายเลข 6 ทางไปเมืองหลักขาวไปด่านน้ำพาว ชายแดนเวียดนามก่อนถึงบ้านนาหิน ประมาณ 3 กม.มีทางแยกขวามือและจะเจอป้ายบอกทางอย่างชัดเจน
            การเข้าชมถ้ำ  
    ในการเข้าชมถ้ำนั้นมีค่าใช้จ่ายที่ต้องเสียด้วยกัน 3 อย่างค่ะ
    1. จ่ายค่าเข้าชมถ้ำ 5000 กีบ ประมาณ 16 บาทไทยค่ะ
    2. ค่าล่องเรือลอดถ้ำราคาคนเดียวเหมาราคาจะอยู่ที่ 110000 กีบ ประมาณ 370 บาทไทยและจะมีเสื้อชูชีพให้ด้วยค่ะและในเรือหนึ่งลำสามารถนั่งได้ 3 คน
    3. ค่าเช่าไฟฉาย 5000 กีบ ประมาณ 16 บาทไทยค่ะในกรณีที่ลืมไฟฉายที่สถานที่มีให้เช่าค่ะ
    ในการล่องเรือถ้ำลองกอนะคะจะมีระยะทาง 7.5 กิโลเมตรและแวะพัก 15 นาทีและล่องเรือกลับทางเดิมรวมไปกลับก็ 15 กิโลค่ะโดยจะใช้เวลาล่องเกือบ 3 ชั่วโมงค่ะและบรรยากาศข้างในถ้ำก็เย็นสบาย น้ำใส สะอาดและบางช่วงของการล่องเรือจะต้องมีการช่วยกันเข็นเรือด้วยเนื่องจากน้ำไม่ลึกค่ะ 
    ดังนั้นหากผู้อ่านทุกท่านได้มีโอกาสไปเยือนประเทศลาวก็ลองไปเที่ยวที่ถ้ำกองลอแห่งนี้สักครั้งนะคะ รับรองว่าจะไม่มีทางผิดหวังกับธรรมชาติที่สวยงามแบบนี้แน่นอนค่ะ
หินงอกหินย้อยภายในถ้ำ

ไฟฉายจำเป็นเป็นอย่างมากในการไปเที่ยวถ้ำกองลอ

จอดพักเรือ 15 นาที

อ้างอิงข้อมูลจาก
ปาริฉัตร.(2559).เที่ยวถ้ำลอดกองลอ.https://www.thetrippacker.com/th/review/.(ระบบออนไลน์).สืบค้นข้อมูล 28 ตุลาคม 2563.
ลอดถ้ำ ถ้ำลอด(กองลอ) ณ แขวงคำม่วน.(2553).https://www.posttoday.com/life/travel/8697.(ระบบออนไลน์).สืบค้นข้อมูล 28 ตุลาคม 2563.

ขอบคุณรูปภาพจาก

https://www.thetrippacker.com/th/review/
https://www.posttoday.com/life/travel/8697



                                                                                                                                                        






วันพฤหัสบดีที่ 15 ตุลาคม พ.ศ. 2563

เมืองพุกาม ทะเลเจดีย์มรดกโลก

     ประเทศเมียนมาร์นั้นเป็นหนึ่งในประเทศที่มีแหล่งท่องเที่ยวทางประวัติศาสตร์ มรกดโลกและวัฒนธรรมมากมายอีกประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยมีแหล่งท่องเที่ยวที่โด่งดังและสำคัญอย่าง  เจดีย์ชเวดากอง อันเป็นเจดีย์ที่ศักดิ์สิทธิและคนเมียนมาร์ให้ความเคารพเป็นอย่างมาก แต่นอกเนหือจากเจดีย์ชเวดอกองแล้วเมียนมาร์ไม่ได้มีสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจเพียงเท่านี้แลนมาร์คที่สำคัญของเมียนมาร์ยังมีอีกไม่ว่าจะเป็น ทะเลสาปอินเล พื้นที่โบราณสถานเมืองมเยาะอู้ เมืองพุกาม เป้นต้น แต่ในวันนี้เราจะมาเขียนเรื่องราวเกี่ยวกับเมืองพุกาม เมืองมัณฑะเลย์กันค่ะ เนื่องจาก เมืองพุกามนี้นั้นเป็นเมืองเก่าแก่ที่มีอายุกว่า 4,000 ปีมีเจดีย์กว่า 4,000 องค์แต่เพิ่งได้รับการขึ้นเป็นมรดกโลกจากองค์การยูเนสโกเมื่อวันที่ 6 กรกฎาคม 2562 ที่ผ่านมาไม่นานมานี้ทำให้เมืองพุกามกลับมาเป็นที่พูดถึงและสนใจสำหรับนักท่องเที่ยวทั้งในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เอเชียตะวันออก หรือตะวันตกต่างก็สนใจมาท่องเที่ยวยังเมืองพุกามแหล่งนี้มากยิ่งขึ้น ดังนั้นในวันนี้จึงขอหยิบยกเมืองพุกามขึ้นมาเขียนเพื่อให้ผู้ที่สนใจและอยากรู้จักเมืองมรดกโลกอย่างเมืองพุกาม

    


        เมืองพุกาม เป็นเมืองโบราณและได้รับการรับรองจากองค์การบูเนสโกให้เป็นแหล่งมรดกโลก ตั้งอยู่ในเขตมัณฑะเลย์ ประเทศพม่า ในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 9 ถึง 13 เมืองแห่งนี้เคยเป็นเมืองหลวงของอาณาจักรพุกาม อาณาจักรแห่งแรกของชาวพม่า ยุครุ่งเรืองสูงสุดของอาณาจักรระหว่างคริสต์ศตวรรษที่ 11 ถึง 13 มีวัด เจดีย์และอารามกว่า 10,000 แห่งที่ถูกสร้างขึ้นบนที่ราบพุกามแห่งนี้ ปัจจุบันมีเจดีย์และวัดหลงเหลืออยู่ประมาณ 4,000 องค์เนื่องมาจาก ณ เมืองพุกามแห่งนี้เคยเกิดแผ่นดินไหวขึ้นจึงทำให้เจดีย์หลายองค์พังทลายและได้รับความสเียหายเป็นจำนวนมาก
    ในส่วนของประวัติศาสตร์ความเป็นมาของเมืองพุกามแห่งนี้นั้นตามประวัติศาสตร์กล่าวว่า เมืองแห่งนี้ถูกสถาปนาในสมัยพระเจ้าอโนรธา เมื่อพุทธศตวรรษที่ 16 อันเป็นกษัตริย์พระองค์แรกของราชวงศ์พุกาม ซึ่งพระองค์นั้นสามารถรวบรวมดินแดนขนาดใหญ่ที่กินพื้นที่ไปถึงบริเวณตอนกลางของพม่าและเมืองประเทศราชอื่น ๆ เข้ามาเป็นหนึ่งเดียวกันได้ทั้งหมด นอกจากความรุ่งเรืองของอาณาจักรแล้วศาสนาพุทธก็เจริญรุ่งเรืองควบคู่ไปด้วยเช่นเดียวกัน ทำให้พระอโนรธาในขณะนั้นมีความต้องการให้ชาวเมืองเลิกนับถือผีที่เป็นความเชื่อดั้งเดิม หันมาศรัทธาในพระพุทธศาสนาแทน นำมาสู่ธรรมเนียมการสร้างเจดีย์จำนวนมากเพื่อความเป็นสิริมงคลและความศรัทธาของกษัตริย์พระองค์ต่าง ๆ ที่ขึ้นมาปกครองอาณาจักรพุกาม


        อาณาจักรพุกามถึงคราวล่มสลายลงในปี พ.ศ.1830 เมื่อกุบไลข่าน จอมทัพแห่งมองโกลยกทัพมายึดครองอาณาจักรแห่งนี้ส่งผลให้เจดีย์กว่า 10,000 องค์ที่สร้างขึ้นมาถูกปล่อยให้ทิ้งร้าง เมื่อบวกกับเหตุการณ์แผ่นดินไหวที่เกิดขึ้นทำให้เจดีย์ที่นอกจากจะพังทลายตามกาลเวลาแล้วยังถูกเหตุการณ์ธรรมชาติทำลายด้วย ทำให้จำนวนเจดีย์หลงเหลือเพียง 4,000 องค์ แต่นั่นก็เพียงพอที่จะทำให้เมืองพุกามแห่งนี้เป็นสถานที่ที่สวยงามและมีชื่อเสียงในระดับโลก 

        
        การเดินทางจากสนามบินมัณฑะเลย์ไปยังตัวเมือง  

        -  รถแท็กซี่ เป้นวิธีการเดินทางรูปแบบเดียวที่สามารถเดินทางได้จากสนามบินมัณฑะเลย์เข้ามายังตัวเมือง โดยมีระยะทางประมาณ 37 กิโลเมตรใช้เวลาในการเดินทาง 40-50 นาที มีอัตราค่าบริการ คือ 4,000 จ๊าดต่อคน (ประมาณ 100 บาทไทย) สำหรับการใช้บริการรถแท็กซี่แบบแชร์ร่วมกับผู้อื่น ราคาอยู่ที่ 12,000 (290 บาทไทย) จ๊าดและสำหรับเหมาทั้งคันรถจะมีกลุ่มคนขับแท็กซี่ยืนรอให้บริการอยู่บริเวณประตูทางออกสนามบินโดยราคาขึ้นอยู่กับการตกลงกันระหว่างผู้โดยสารและคนขับ
        การเดินทางจากเมืองพุกามไปมัณฑะเลย์ 
        -  รถบัส เป็นวิธีการเดินทางที่ได้รับความนิยมในหมู่นักท่องเที่ยวเนื่องจากมีราคาถูกโดยมีค่าโดยสารเที่ยวละ 8,000 จ๊าด(190 บาทไทย)ใช้เวลาเดินทาง 4-5 ชั่วโมงมีการแวะทานข้าวระหว่างเดินทางด้วย 1 ครั้ง
        - เครื่องบิน เป็นวิธีการเดินทางที่มีสายการบินอย่าง Myanmar airline ให้บริการบินตรงใช้เวลา 30 นาทีค่าโดยสารประมาณ 2,000 บาท อาจจะมีราคาแตกต่างออกไปตามช่วงเวลาเดินทาง
        - เรือ เป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่นักท่องเที่ยวสามารถใช้ได้เพราะสามารถเพลิดเพลินกับบรรยากาศสองฟากฝั่งแม่น้ำอิรวดีได้มีค่าบริการเที่ยวละประมาณ USD 35-50(1,090-1,560บาทไทย)โดยราคาจ่ายจะรวมค่าน้ำดื่ม อาหาร ชาและกาแฟ 
        การเดินทางในเขตพุกาม 
        - รถแท็กซี่ เป็นทางเลือกหลักโดยจัะเป็นราคาแบบเหมาจ่ายอยู่ที่ USD 70-120 (2,185-3,745 บาทไทย)
        - รถเช่า การเช่ารถส่วนใหญ่ในพม่าส่วนใหญ่จะเช่าพร้อมคนขับและรวมค่าน้ำมันเอาไว้แล้ว อัตราค่าเช่าจึงใกล้เคียงกับการนั่งแท็กซี่อยู่ที่ประมาณ USD 70-120 (2,185-3,745 บาทไทย)
        - รถม้า เป้นอีกวิธีการเดินทางที่เป้นที่ยอดนิยมเพื่อสัมผสบรรยากาศย้อนยุคราคาหนึ่งวันอยู่ที่ 20,000 จ๊าด (480 บาทไทย)

       จากที่กล่าวมาแล้วนั้นถึงแม้ว่าทุกคนจะได้ทราบถึงความเป็นมาและความสวยงามของเมืองพุกามแต่จะดีกว่ามากหากสักครั้งหนึ่งทุกคนจะได้ไปสัมผัสความสวยงามและความมหัศจรรย์ของสิ่งก่อสร้างโบราณเลืองชื่อแห่งนี้ ณ ประเทศเมียนมาร์ หากได้มีโอกาสเยือนประเทศเมียนมาร์ การมาเที่ยว ณ เมืองพุกามแห่งนี้เชื่อว่าทุกคนจะได้รับประสบการณ์ที่ยอดเยี่ยมให้จดจำไปอย่างไม่รู็จบอย่างแน่นอนค่ะ

💗แอดมิน เชอรี่บลอสซั่ม💖



อ้างอิงข้อมูลจาก

พุกาม ดินแดนแห่งทะเลเจดีย์ เมืองพุกาม ประเทศพม่า.(2563).https://palanla.com/index.php?op=abroadLocation-detail&id=146(ระบบออนไลน์).สืบค้นเมื่อวันที่ 15 ตุลาคม 2563.

ชาวเมียนมาร์เฮพุกามขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกพุกาม.(2562).https://workpointtoday.com/bagan-unesco-world-heritage/(ระบบออนไลน์).สืบค้นเมื่อวันที่ 15 ตุลาคม 2563.


ขอบคุณรูปภาพจาก

https://mgronline.com/indochina/detail/9630000015156

https://www.facebook.com/samrujlok/posts/10157583995322226/




 


วันพฤหัสบดีที่ 17 กันยายน พ.ศ. 2563

ตลาดพซาทะไม (Central Market) โดมเหลืองโดดเด่น ใจกลางพนมเปญ

                   ประเทศกัมพูชาเป็นหนึ่งในประเทศเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่การท่องเที่ยวได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก เนื่องจากเป็นประเทศที่เต็มไปด้วยแหล่งท่องเที่ยวทางประวัติศาสตร์และโบราณสถานที่สวยงาม มีประวัติอันยาวนานและน่าสนใจ หากลองให้เอ่ยถึงสถานที่ท่องเที่ยวในกัมพูชาที่ทุกคนรู้จักและอยากไปเที่ยวสักครั้งหนึ่งคำตอบคงจะหนีไม่พ้น นครวัด อย่างแน่นอน แต่ทว่าในวันนี้สถานที่ที่เราจะแนะนำให้ทุกคนได้รู้จักนั้นไม่ใช่นครวัดแต่เป็นตลาดพะซาทะไมหรือตลาดกลาง (Central market)  ทำไมตลาดนี้จึงน่าสนใจและทำไมถึงเป็นสถานที่ที่เราต้องแนะนำให้ทุกคนได้รู้จัก  ตลาดสถาปัตยกรรมตะวันตกอันโดดเด่นท่ามกลางเมืองพนมเปญ ประเทศกัมพูชา


                 ตลาดพซาทะไมหรือตลาดกลางนั้นมีประวัติความเป็นมากว่า 85 ปีมาแล้ว ตลาดแห่งนี้ก่อสร้างขึ้นเมื่อปีค.ศ.1953 สร้างสำเร็จและเปิดอย่างเป็นทางการในฐานะตลาดขนาดใหญ่ในปี 1937 ใช้ระยะเวลาในการก่อสร้าง 4 ปีจนกระทั่งได้รับความเสียหายอย่างหนักจากการโดนทิ้งระเบิดในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 และเมื่อสงครามได้สิ้นสุดลงตลาดกลางแห่งนี้จึงได้ถูกสร้างขึ้นใหม่อีกครั้ง ในรูปแบบตะวันตกที่ทันสมัยเนื่องจากได้รับการออกแบบโดยสถาปนิกชาวฝรั่งเศส คือ  Louis Chauchon และได้รับการดูแลก่อสร้างโดย Jean Desbois และ Wladimir Kandaouroff ซึ่งเป็นสถาปนิกชาวฝรั่งเศสเช่นเดียวกัน 

                 สถาปัตยกรรม ณ ตลาดกลางแห่งนี้เป็นตึกแบบอาร์ตเดโก ตัวอาคารเป็นโดมสีเหลืองรูปกากบาท มีปีกอาคารทั้งสี่ด้านแตกแขนงออกไปเป็นร้านรวงต่าง ๆ  ตรงกลางเป็นเพดานสูงทรงโค้งรูปโดมสวยงาม

             ภายในตลาดนั้นจะเต็มไปด้วยสินค้ามากมายหลายชนิดให้ได้เลือกซื้อไม่ว่าจะเป็นเครื่องประดับ ร้านทอง ร้านขายเหรียญโบราณ ร้านเสื้อผ้าเครื่องแต่งกายทั้งชายและหญิง ร้านขายรองเท้า ร้านขายกระเป๋า ร้านขายของที่ระลึก แม้กระทั่งอาหารทะเลก็สามารถหาซื้อได้ ณ ที่ตลาดแห่งนี้อีกด้วย



     การเดินทางไปตลาดกลาง เมืองพนมเปญ

        ตลาดกลางแห่งนี้ตั้งอยู่ใจกลางเมืองของพนมเปญ นักท่องเที่ยวเดินทางมาเยือนได้หลายวิธีไม่ว่าจะเป็นการเดินทางโดย

         * รถตุ๊กตุ๊ก ซึ่งมีค่าใช้จ่ายในการเดินทางในเขตเมืองครั้งละประมาณ 2-4 ดอลล่าห์สหรัฐ (USD) ประมาณ 60-120 บาทไทยหรือเหมาเที่ยวทั้งวันประมาณ 20 ดอลล่าห์สหรัฐ (USD) หรือประมาณ 620 บาทไทย

      * รถแท็กซี่ เป็นอีกหนึ่งการเดินทางที่ได้รับความนิยมเนื่องจากความสะดวกสบาย มีบริการมิเตอร์ค่าโดยสาร แต่บางส่วนนิยมใช้บริการแบบพาเหมาเที่ยวรอบเมืองหรือตลอดทั้งวัน

        เวลาในการให้บริการ

* ตลาดกลางเปิดให้บริการทุกวันตั้งแต่ 07.00-17.00 โดยไม่มีการเก็บค่าบริการในการเข้าตลาด

ข้อมูลที่ควรรู้ก่อนเดินทางท่องเที่ยว ณ ตลาดใหม่

* บริเวณพื้นที่ใจกลางโดมของตลาดกลาง เป็นแหล่งรวมร้านจำหน่ายเครื่องประดับอัญมณี ซึ่งผู้ซื้อควรมีความรู้และความชำนาญ เพื่อป้องกันการถูกหลอก และควรแลกเงินดอลล่าห์ไว้เผื่อเสมอ 

     เมื่อรู้ข้อมูลแหล่งท่องเที่ยวที่น่าสนใจในกัมพูชาอย่างตลาดกลางแห่งนี้แล้ว หากใครมีโอกาสได้ไปเยือนกัมพูชา ก็อย่าลืมแวะมาเยี่ยมชมตลาดกลาง ตลาดสถาปัตยกรรมตะวันตก ณ กรุงพนมเปญกันเยอะ ๆ นะคะ ❤️


อ้างอิงข้อมูล

ท่องเที่ยวกัมพูชา.(2561).http://altinmarkam.com/tag.(ระบบออนไลน์).สืบค้นเมื่อวันที่ 16 กันยายน 2563.

ตลาดกลาง เมืองพนมเปญ ประเทศกัมพูชา.(2563).https://palanla.com/.(ระบบออนไลน์).สืบค้นเมื่อวันที่ 16 กันยายน 2563.

6ที่เที่ยวพนมปญตามมาดูว่ามีอะไรกันบ้าง.(มปป).https://blog.bangkokair.com/.(ระบบออนไลน์).สืบค้นเมื่อวันที่ 16 กันยายน 2563.



วันพฤหัสบดีที่ 27 สิงหาคม พ.ศ. 2563

Guide Me Please

    ขั้นตอนการเตรียมตัวก่อนการปฏิบัติหน้าที่ของมัคคุเทศก์

    กลับมาพบกันใหม่อีกครั้งกับบล็อกให้ความรู้เกี่ยวกับการเป็นมัคคุเทศก์นะคะ หลังจากที่บล็อกเกี่ยวกับมัคคุเทศก์คราวที่แล้วที่เราพูดถึงเรื่องของเทคนิคการนำทัวร์ที่ดีของมัคคุเทศก์ มาคราวนี้นะคะเราจะมาพูดถึงเรื่องการเตรียมตัวก่อนการทำงานของมัคคุเทศก์กันค่ะ และเพื่อให้ไม่เป็นการเสียเวลาเรามาเริ่มกันเลย💕

     มัคคุเทศก์นั้นเป็นบุคคลที่มีความสำคัญต่ออุตสาหกรรมท่องเที่ยว ในฐานะเป็นผู้เชื่อมโยงความเข้าใจอันดีระหว่างนักท่องเที่ยวและแหล่งท่องเที่ยวและยังมีหน้าที่ในการดูแลนักท่องเที่ยวระหว่างปฏิบัติหน้าที่ด้วย  ดังนั้นมัคคุเทศก์จึงควรรู้จักบทบาทและหน้าที่ที่ตนต้องปฏิบัติและเตรียมตัวในการทำงานเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพและความเรียบร้อยและความประทับใจจากนักท่องเที่ยวได้อย่างดีที่สุด

   👉 1.ขั้นตอนการเตรียมตัวก่อนการปฏิบัติหน้าที่👈

1.1 ศึกษาหาความรู้ในด้านต่าง ๆ อยู่เสมอเพื่อเท่าทันเหตุการณ์

1.2 ศึกษากิจการของบริษัทนำเที่ยว เนื่องจากมัคคุเทศก์เป็นบุคคลที่ทำหน้าที่อำนวยความสะดวกในการนำเที่ยวและแก้ไข้ปัญหาเฉพาะหน้าแทนบริษัทนำเที่ยวการรู้จักบริษัทกิจการนำเที่ยวจะเป็นการดีหากเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันเราสามารถแก้ไข้ปัญหาให้ตรงจุด

1.3 สร้างความสัมพันธ์อันดีกับบริษัทนำเที่ยวที่ตนสังกัดอยู่และบุคคลอื่นที่เกี่ยวข้อง เนื่องจากมัคคุเทศก์เป็นผู้สร้าชื่อเสียงและคอยโฆษณา ประชาสัมพันธ์ให้กับบริษัทนำเที่ยวที่ตนสังกัดให้นักท่องเที่ยวทราบการมีความสัมพันธ์อันดีกับสถานประกอบการที่เกี่ยวข้องอย่างโรงแรม ร้านอาหาร แหล่งท่องเที่ยว ร้านค้าที่ระลึก บริษัทรถ บริษัทนำเที่ยวอื่น ๆ นั้นเราจะสามารถรักษาผลประโยชน์ของบริษัทและนักท่องเที่ยวเอาไว้ได้ไม่ให้ถูกเอาเปรียบ

   👉2. การรับมอบหมายงานจากบริษัทนำเที่ยว👈

    - โดยปกติแผนกปฏิบัติการ (Operation) ของบริษัทนำเที่ยวจะเป็นผู้พิจารณาแต่มัคคุเทศก์ที่มีความมั่นใจว่ามีประสบการณ์ก็สามารถเสนอตัวได้

    - สำหรับข้อมูลต่าง ๆ มัคคุเทศก์จำเป็นต้องรับทราบและเข้าใจให้ถี่ถ้วนเมื่อได้รับมอบหมายจากบริษัทและไม่ควรมาถามรายละเอียดอีกและรายละเอียดที่ได้รับจากบริษัทก็มี ดังนี้

    👍2.1 การรับมอบหมายจากบริษัทนำเที่ยว

    - รายละเอียดของใบงาน (Job Order or Tour Order)

    - จำนวนและข้อมูลส่วนตัวนักท่องเที่ยว

    - รายการนำเที่ยวฉบับสมบูรณ์ เช่น วันและเวลาในการเดินทาง ยานพาหนะที่ใช้ในการเดินทางในแต่ละที่ สถานที่พักแรม ร้านอาหาร สถานที่ท่องเที่ยวและร้านขายของที่ระลึก

    - รายละเอียดของการชำระค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ในระหว่างการนำเที่ยว

    - เอกสารและอุปกรณ์ที่ต้องใช้ในระหว่างการปฏิบัติหน้าที่

    - นโยบายของบริษัทในกรณีที่เกิดปัญหาหรือเหตุการณ์ที่ผิดปกติขึ้น

    3. การตรวจสอบเอกสาร การจัดเตรียมอุปกรณ์และการเตรียมตัวปฏิบัติงาน

        สำหรับการนำเที่ยวออกนอกประเทศ (Outbound Tour) จำเป็นต้องตรวจสอบเอกสารเดินทางเพิ่มเติม ดังนี้

      -  บัตรโดยสารเครื่องบินของนักท่องเที่ยว

      - แบบฟอร์มการเข้า-ออกประเทศ (Immigration Form) และแบบฟอร์มการแจ้งรายการสิ่งของต่อศุลกากร (Custom Declaration Form) ของประเทศที่จะเดินทางไป

      - หนังสือเดินทาง Passport ของนักท่องเที่ยว

    3.1 การจัดเตรียมอุปกรณ์นำเที่ยว โดยมีอุปกรณ์ที่จำเป็นดังต่อไปนี้

      -  ป้ายชื่อหรือสติกเกอร์ติดกระเป๋า (Tag) สำหรับติดกระเป๋าของนักท่องเที่ยวหรือริบบิ้นติดกระเป๋าสีสดใสผูกติดไว้ที่กระเป๋านักท่องเที่ยว

       ป้ายชื่อนักท่องเที่ยวสำหรับให้นักท่องเที่ยวติดตัว

      - สิ่งของกระจุกกระจิกสำหรับการให้บริการและอำนวยความสะดวกต่อนักท่องเที่ยว เช่น กระติกน้ำ แก้วน้ำเสิร์ฟน้ำ เครื่องดื่มต่าง ๆ หรือถุงขยะ ผ้าเย็น กระดาษชำระ เป็นต้น

      - ยาสามัญประจำบ้านทั่วไป เช่น ยาหม่อง ยาแก้ปวดศีรษะ ปวดท้อง ยาแก้ท้องเสีย เป็นต้น รวมถึงของใช้ส่วนตัวอย่าง เช่น ด้าย เข็ม อุปกรณ์หลาย ๆ อย่างถึงแม้บางโรงแรมหรือในแหล่งที่ไปจะมีให้หรือหาได้ง่าย มัคคุเทศก์ก็ควรเตรียมไปเองด้วยเผื่อฉุกเฉินระหว่างทาง

      - อาหารว่างอย่างของขบเคี้ยวก็ควรเตรียมเอาไว้เผื่อลูกทัวร์หิวขณะเดินทาง

      - เตรียมอุปกรณ์สันทนาการเกมต่าง ๆ และของรางวัลเพื่อเตรียมแจก

    3.2 การเตรียมตัวปฏิบัติงาน

    -  การเตรียมตัวด้านข้อมูล ให้เตรียมตัวการประสานงานไว้ให้ดีโดยเแพาะหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการสถานที่ที่จะไป เช่น กองอุทยานแห่งชาติ ป่าไม้ ติดต่อที่พักแรมและการนำชม,กรมศิลปากร ก็จะเป็นสถานที่ท่องเที่ยวทางโบราณคดีแหล่งท่องเที่ยวทางประวัติศาสตร์, กรมทางหลวง ตำรวจการท่องเที่ยว บริษัทประกันภัย

    3.3 การเตรียมตัวเองของมัคคุเทศก์

    -  ในด้านความเป็นส่วนตัว การเตรียมตัวของมัคคุเทศก์ คสรเตรียมเสื้อผ้าให้พอใช้และเหมาะสมกับสถานที่ที่ไป เครื่องแต่งกายต้องสะอาด สุภาพ ควรนำนาฬิกาปลุกติดตัวไปด้วยเพื่อเอาไว้ตั้งเวลาในการเตรียมความพร้อม

    - มัคคุเทสก์ควรพักผ่อนให้เพียงพอก่อนออกปกิบัติงานและเตรียมจิตใจให้พร้อมที่จะเผชิญกับงานข้างหน้า

    - เตรียมค่าใช้จ่ายส่วนตัวให้พร้อมเพราะบางครั้งอาจมีสาเหตุจำเป็นที่ต้องใช้จ่ายเกินกว่าที่บริษัทกำหนด

    จากที่กล่าวไปนั้นล้วนเป็นสิ่งที่มัคคุเมศก์ที่ดีควรมีและควรรู้ทั้งสิ้นเพราะจะช่วยให้เกิดการบริการที่ดี เพราะในปัจจุบันการแข่งขันมีสูงมาก การแข่งขันในด้านบริการจึงเป็นจุดสำคัญที่จะทำให้ทั่วเกิดการได้รับความไว้วางใจจากผู้ใช้บริการกลับมาใช้บริการอีกไม่รู้จบ


อ้างอิงข้อมูลจาก

http://www.elfhs.ssru.ac.th/chantouch_wa/pluginfile.php/440/.สืบค้นเมื่อวันที่ 27 สิงหาคม 2563.

    

    


    

วันอังคารที่ 25 สิงหาคม พ.ศ. 2563

วัดเฉินก๊วก (Trấn Quốc) เสน่ห์วัดโบราณ

             ประเทศเวียดนามเป็นหนึ่งในประเทศตะวันออกเฉียงใต้ที่มีอารยธรรมและสถานที่ทางประวัติศาสตร์อันเก่าแก่มากมายที่น่าศึกษาและท่องเที่ยว วัดเฉินก๊วกก็เป็นหนึ่งในความน่าสนใจที่สะท้อนให้เห็นประวัติศาสตร์อันยาวนานของเวียดนามได้ดี โดย ณ วัดเฉินก๊วกแห่งนี้มีเจดีย์อันเก่าแก่อย่างเจดีย์เฉินก๊วกที่มีอายุมากกว่า 1,500 ปีมาแล้วประดิษฐานอยู่
              สำหรับวัดเฉินก๊วก (Trấn Quốc) เป็นวัดที่มีบริเวณที่ตั้งอยู่ติดกับทะเลสาปโฮไตของเมืองฮานอยประเทศ เวียดนามวัดแห่งนี้ถือได้ว่าเป็นสัญลักษณ์ทางพระพุทธศาสนาเนื่องจากมีเจดีย์เฉินก๊วกที่ได้รับการสักการะและเคารพด้านความเก่าแก่ด้วยอายุเกือบ 1,500 ปีตั้งอยู่ เจดีย์นี้ก่อสร้างขึ้นในช่วงศตวรรษที่ 14 โดยจักรพรรดิ์ Le Guy Tong  แต่เดิมมีชื่อเรียกว่า "Khai Quec" โดยมีลักษณะของเจดีย์ที่มีการผสมผสานกันอย่างลงตัวระหว่างสถาปัตยกรรมจีนและเวียดนามมีความสูงของเจดีย์อยู่ที่ 15 เมตรและมีทั้งหมด 11 ชั้นแต่ละชั้นจะมีช่องหน้าต่างอันเป็นที่ประดิษฐานของประติมากรรมพระพุทธรูป อมิตาพุทธเจ้า ตามความเชื่อ มหายานซึ่งมองเห็นได้เด่นชัดจากทางด้านนอกตั้งไล่เลียงกันขึ้นจากชั้นล่างสุดจนถึงบนสุด ตัวของเจดีย์ก่อสร้างด้วยอิฐแดง โชว์ให้เห็นการซ้อนของอิฐและชั้นล่างด้านหน้าจะมีแท่นไว้สำหรับนักท่องเที่ยวบูชา ภายในเจดีย์จะมีจารึกประวัติความเป็นมาของเจดีย์และพระศรีศากยมุนีปางปรินิพพานที่ทำด้วยทองคำ
https://www.talontiew.com/tran-quoc-pagoda/


https://www.expedia.co.th/Tran-Quoc-Pagoda-Yen-Phu.d6115798.Place-To-Visit

          นอกจากนั้น ภายในวัดยังมีต้นโพธิ์ขนาดใหญ่ ที่เป็นอีกจุดที่น่าสนใจไม่แพ้กันกับเจดีย์เฉินก๊วกเลย เนื่องจากประวัติความเป็นมาและความเชื่อของผู้คนต่อต้นโพธิ์ต้นนี้ ตามประวัตินั้นต้นโพธิ์ต้นนี้ได้นำมาจากอินเดียโดยนายกรัฐมนตรีอินเดียเป็นผู้มอบให้และมีความเชื่อว่า ต้นโพธิ์ต้นนี้กำเนิดต่อจากต้นโพธิ์ที่เจ้าชายสิทธัตถะทรงประทับนั่งตรัสรู้ ดังนั้นจึงมีการสร้างฐานล้อมต้นโพธิ์ไว้พร้อมกับประดิษฐานพระพุทธรูปเอาไว้ด้วย


สถานที่ท่องเที่ยวในเจดีย์เฉินก๊วก ในYên Phụ ประเทศYên Phụ ...
https://www.google.com/url?

        หากใครที่ได้มีโอกาสไปเยื่อนประเทศเวียดนามควรหาโอกาสไปเดินชมและท่องเที่ยวยังวัดเฉินก๊วกสักครั้งเพราะนอกจากบรรยากาศภายในวัดที่ร่มรื่นมาก ๆ เหมาะแก่การทำจิตใจให้สงบแล้วนั้นยังสามารถเรียนรู้ประวัติศาสตร์ได้อีกด้วย แล้วเจอกันใหม่ในบล็อกหน้านะคะ สำหรับวันนี้ สวัสดีค่ะ


อ้างอิงข้อมูลจาก
https://www.talontiew.com/tran-quoc-pagoda/.สืบค้นเมื่อวันที่ 26 สิงหาคม 2563.
https://www.expedia.co.th/Tran-Quoc-Pagoda-Yen-Phu.d6115798.Place-To-Visit.สืบค้นเมื่อวันที่ 26 สิงหาคม 2563.

วันพฤหัสบดีที่ 20 สิงหาคม พ.ศ. 2563

Guide Me Please

     เทคนิคในการเป็นมัคคุเทศก์ที่ดี

    อาชีพมัคคุเทศก์ถือเป็นอาชีพในฝันของใคร ๆ คนเพราะว่านอกจากจะได้ทำงานแล้วยังได้ท่องเที่ยวไปยังสถานที่สวยงามต่าง ๆ มากมายอันเป็นผลพลอยได้จากการประกอบอาชีพมัคคุเทศก์ ในประเทศไทยเองอาชีพมัคคุเทศก์ถือว่าเป็นอาชีพหนึ่งที่มีรายได้ดีเนื่องจากประเทศไทยเป็นประเทศแห่งการท่องเที่ยวในแต่ละปีมีนักท่องเที่ยวเดินทางมายังประเทศไทยเป็นจำนวนมาก ทำให้อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวและอาชีพมัคคุเทศก์เฟื่องฟูมากในตลอดหลายปีที่ผ่านมา ถึงแม้ว่าในสถานการณ์ ณ ปัจจุบันอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวจะเกิดปัญหาจากการระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ทำให้อาชีพมัคคุเทศก์พลอยได้รับผลกระทบไปด้วย แต่กระนั้นอาชีพมัคคุเทศก์ก็ยังคงเป็นอาชีพที่ใครหลาย ๆ คนอยากทำอยู่เช่นเดิม ดังนั้นความรู้เกี่ยวกับการประกอบอาชีพมัคคุเทศน์จึงควรมีไว้เพื่อเป็นการทำความเข้าใจในหลักของการทำงานและหน้าที่ของมัคคุเทศก์เป็นอย่างไร สิ่งนี้จะนำเราไปสู่เส้นทางการเป็นมัคคุเทศก์ที่ดีได้ในอนาคต

    ในการทำทัวร์ในแต่ละครั้งนั้นมัคคุเทศก์จะมีหน้าที่หลักคือการบรรยายข้อมูลต่าง ๆ ของแหล่งท่องเที่ยว สิ่งนี้เป็นสิ่งที่ทุกคนทราบดีอยู่แล้วเพียงแต่ว่าการบรรยายของมัคคุเทศก์โดยขาดการสังเกตลูกทัวร์นั้นจะทำให้คุณไม่สามารถเป็นมัคคุเทศก์ที่ดีได้ เนื่องจาก ในแต่ละคณะทัวร์นั้นมักจะประกอบไปด้วยผู้คนหลากหลายช่วงวัย ดังนั้นการบรรยายข้อมูลและการใช้ภาษาของมัคคุเทศน์ต้องมีการปรับเพื่อให้เข้ากับกลุ่มบุคคลนั้น ๆ ด้วยเพื่อเป็นการดึงความน่าสนใจของลูกทัวร์และความสุนกสนานน่าเรียนรู้ของสถานที่ท่องเที่ยวและทัวร์ครั้งนั้น 


รูปภาพโดยเวียงคำ ชวนอุดม

    นอกจากวิธีการบรรยายที่สำคัญสำหรับมัคคุเทศก์ ตำแหน่งสำหรับการยืนพูดของมัคคุเทศก์ก็สำคัญไม่แพ้กันเนื่องจาก ตำแหน่งการยืนจะทำให้ลูกทัวร์เข้าใจในสิ่งที่มัคคุเทศก์อธิบายได้ดียิ่งขึ้น โดยลักษณะการยืนที่ดีคือ มัคคุเทศก์จะไม่ยืนหันหน้าเข้าสิ่งนำชมและอธิบายแต่ใช้สายตาในการมองสิ่งนั้นแทนแล้วจึงอธิบายและมีรอยยิ้มประดับไว้ระหว่างการบรรยายเสมอสิ่งนี้จะสร้างความเป็นมิตรให้แก่นักท่องเที่ยวและทำให้บรรยากาศของทัวร์ดียิ่งขึ้นและถ้าหากระหว่างการอธิบายลูกทัวร์มีคำถาม มัคคุเทศก์จะมีเทคนิคในการตอบคำถาม คือ ทวนคำถามลูกทัวน์อีกครั้งก่อนตอบคำถามวิธีนี้มีประโยชน์อย่างมากเพราะนอกจากจะเป็นการทวนเพื่อย้ำคำถามของลูกทัวร์แล้วมัคคุเทศก์ยังมีแล้วในการคิดหาคำตอบอีกด้วยและในการตอบคำถามของมัคคุเทศก์จะต้องสั้น กระชับและได้ใจความ จะไม่มีการบรรยายอย่างยาวเพื่อเป็นการเบิกไปสู่คำถามต่อไปเรื่อย ๆ เพราะหากทำเช่นนั้นลูกทัวร์ท่านอื่นอาจจะเบื่อได้ 

รูปโดยเวียงคำ ชวนอุดม

    สิ่งสำคัญสิ่งสุดท้ายของการทำหน้าที่ของมัคคุเทศก์ คือ การคำนึงถึงความปลอดภัยของลูกทัวร์ มัคคุเทศก์ต้องคอยสำรวจลูกทัวร์ทุก ๆ ครั้งและตลอดเวลาเพื่อไม่ให้ลูกทัวร์คลาดสายตาและต้องพูดถงสิ่งที่ลูกทัวร์ควรคำนึงและระวังของสถานที่นั้น ๆ เพื่อความปลอดภัยและเคารพในกติกาของสถานที่

รูปภาพโดยเวียงคำ ชวนอุดม

    จากที่กล่าวไปนั้นล้วนเป็นสิ่งที่มัคคุเทศก์ที่ดีควรมีทั้งสิ้นและยังทำให้เห็นว่าการเป็นมัคคุเทศก์นั้นไม่ใช่ว่าจะเป็นกันง่าย ๆ เพราะคิดว่ามัคคุเทศก์มีเพียงหน้าที่พูดอธิบายประวัติสถานที่นั้นและพาลูกทัวร์เดินชมไปเรื่อย ๆ ก็จบหน้าที่แล้ว หากคุณคิดเช่นนั้นการเป็นมัคคุเทศก์ที่ดีเยี่ยมนั้นคุณไม่มีทางเป็นได้ ดังนั้นคุณควรเรียนรู้ข้อควรปฏิบัติที่ดีของมัคคุเทศก์เพื่อนำไปสู่ความสำเร็จในอาชีพนี้ในอนาคตข้างหน้าได้อย่างสมบูรณ์



    

วันศุกร์ที่ 14 สิงหาคม พ.ศ. 2563

สภาพสังคมมนุษย์ในแต่ละยุค

มนุษย์กับการเดินทางสู่ความเป็น Civilization
    ก่อนที่สังคมมนุษย์จะมีวิวัฒนาการและอยู่รวมกันเป็นชุมชนจนเกิดเป็นอารยธรรมขนาดใหญ่นั้น มนุษย์เร่รอนอาศัยอยู่บนที่สูง ก่อนย้ายจากที่สูงลงมาสร้างถิ่นฐานใกล้ ๆ บริเวณแม่น้ำสร้างเป็นชุมชนขนาดเล็กจนขยายไปเป็นขนาดใหญ่และกลายเป็นอารยธรรม
    กล่าวไปถึงสภาพสังคมของมนุษย์ในยุคแรกเริ่มนั้น เป็นกลุ่มคนที่เร่รอน ล่าสัตว์และหาของป่าไม่มีหลักแหล่งที่ชัดเจนถึงแม้จะยังไม่อยู่กันเป็นชุมชนแต่ก็มีการอาศัยอยู่กันเป็นครอบครัวแล้วแต่ก็ยังไม่มีการรวมกลุ่มที่ชัดเจนด้วยลักษณะของการดำรงชีวิตที่ต้องล่าสัตว์ทำให้ต้องเร่ร่อนไปเรื่อย ๆ ระบบสังคมไม่มีความซับซ้อนมากเรียกได้ว่าเป็นอารยธรรมที่ยังไม่มีความเจริญแต่ถึงกระนั้นสังคมมนุษย์ในยุคนี้ก็ยังรู้จักการนำหินมาทำเป็นอาวุธเพื่อล่าสัตว์และนำสัตว์ไปทำเครื่องนุ่งห่ม ดังนั้นสภาพสังคมในยุคนี้จึงเรียกว่าเป็นยุคหินเก่า (Old Stone Age)


ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ ยุคหินเก่า
https://sites.google.com/site/yukhhinkea1/yukh-hin-kea-2


    ต่อมาเมื่อมนุษย์เริ่มรู้จักการอยู่เป็นหลักแหล่งส่งผลให้เกิดเป็นชุมชนขึ้น ในยุคนี้เรียกว่า ยุคหินใหม่ (New Stone Age) สภาพสังคมของมนุษย์ในยุคนี้มีลักษณะที่สำคัญ คือ มนุษย์รู้จักการทำเกษตรเปลี่ยนวิถีชีวิตจากเร่ร่อนหาของป่าหันมาเลี้ยงสัตว์และทำการเพาะปลูกแทน ยุคนี้ถือเป็นยุคที่สำคัญเพราะถือว่าเป็นก้าวแรกของการปฏิวัติสังคมและเศรษฐกิจ โดยเฉพาะการเกษตรที่เข้ามาเปลี่ยนสภาพสังคมจากหมู่บ้านให้กลายเป็นชุมชนเมือง กล่าวคือ มนุษย์ในยุคนี้รู้จักการวางระบบทำการเกษตร คือ มีการวางระบบชลประทานให้เชื่อมโยงกับพื้นที่เกษตรกรรมเข้ากับแหล่งน้ำทำให้การทำการเกษตรทำได้ง่ายขึ้นส่งผลให้ไม่จำเป็นต้องเกณฑ์แรงงานจำนวนมากเพื่อเข้ามาทำการเกษตรเพียงอย่างเดียว มนุษย์สามารถไปทำหน้าที่อื่นได้นอกจากการทำการเกษตรจึงทำให้มีอาชีพอื่น ๆ เพิ่มมากขึ้นและนอกจากนั้นยังทำให้ผลผลิตทางการเกษตรมีปริมาณที่มากขึ้นจนสามารถนำผลผลิตเหล่านี้สามารถส่งออก ทำการค้าขายได้ เกิดการติดต่อกับชุมชนอื่น ๆ ผ่านการค้า

ยุคหินใหม่(neolithic period หรือ new... - วัฒธรรมศึกษา ...
https://www.facebook.com/1505887862980590/posts/1506223079613735/
    

      จากที่กล่าวมานำซึ่งความเป็นอารยธรรม โดยลักษณะของการเป็นอารยธรรมนั้น สังคมมนุษย์มีความซับซ้อนมากยิ่งขึ้น มีการจัดระเบียบของสังคม โดยสิ่งที่เห็นได้ชัดเจนที่สุด คือ ระบบการปกครองที่มีชนชั้นและมีความซับซ้อนมาก เช่น ในอารยธรรมหนึ่งนั้นจะมีระบบการปกครองที่แบ่งบทบาทและชนชั้นที่ชัดเจน โดยจะมีชนชั้นสูงการปกครอง อันได้แก่ จักรพรรดิ กษัตริย์ ขุนนาง รองลงมาก็จะเป็นชนชั้นกลาง ได้แก่ พ่อค้า วิศวกร นักปราชญ์หรือผู้มีความรู้ทั้งหลายจะจัดอยู่ในชนชั้นกลาง รองมาคือชนชั้นล่าง อันได้แก่ ชาวนา เกษตรกรต่าง ๆ และสุดท้ายชนชั้นต่ำ ได้แก่ ทาส เชลย นอกจากการปกครองแล้วในอารยธรรมหนึ่งจะมีตัวอักษรเอาไว้บันทึกเรื่องราวของอารยธรรมรวมไปถึงการมีศิลปะ สถาปัตยกรรมที่บ่งบอกถึงความเป็นอารยธรรมของตนเองอีกด้วย มีการวางผังเมือง มีขอบเขตที่ชัดเจนเห็นได้ชัดว่าความเป็นอารยธรรมทุกอย่างต้องมีความชัดเจนและซับซ้อนมากขึ้นเพราะว่ามนุษย์มีสังคมที่ใหญ่ขึ้น หลากหลายขึ้น การจัดระเบียบของสังคมจึงเป็นเรื่องที่สำคัญ


อารยธรรมของโลกยุคโบราณ
https://sites.google.com/site/civilizations109/

    เมื่อมีการเกิดขึ้นและดำรงอยู่การเปลี่ยนแปลงจึงเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้อารยธรรมต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในโลกล้วนเปลี่ยนแปลงได้ มีรุ่งเรืองย่อมมีล่มสลายโดยมีปัจจัยของการล่มสลายได้อยู่หลายประการด้วยกัน คือ 
 1. สิ่งแวดล้อม การขาดแคลนของทรัพยากรและสิ่งแวดล้อมนำมาซึ่งการทำสงครามเพื่อการแย่งชิงทรัพยากรได้ 
   2. การขยายตัวของประชากรและความคิด การขยายตัวของประชากรและการเคลื่อนย้ายประชากรของอารยธรรมอื่น ๆ เข้ามาหรือเข้าไปนั้นทำให้เกิดการปรับเปลี่ยน วัฒนธรรมที่เข้มแข็งอาจกลืนวัฒนธรรมที่อ่อนแอ่ได้ 
   3. การขยายตัวของประชากรและสงคราม เมื่อมีประชากรเพิ่มมากขึ้นสิ่งที่ตามมาคือความต้องการในด้านพื้นที่และทรัพยากรทำให้เกิดการขยายอารยธรรมอันนำมาซึ่งการทำสงครามเพื่อแย่งชิง
        จากที่กล่าวมาทั้งหมดนั้นจะเห็นได้ว่า การเกิดขึ้นของอารยธรรมนั้นมีส่วนสำคัญในการเปลี่ยนแปลง คือ มนุษย์รู้จักการวางระบบชลประทาน อันเป็นเทคโนโลยีที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทั้งในด้านสังคมและเศรษฐกิจที่ทำให้มนุษย์เกิดการพัฒนาและเปลี่ยนแปลงทำให้เห็นว่าเทคโนโลยีไม่ว่าจะยุคไหน ๆ ก็มักจะเป็นส่วนสำคัญของการพัฒนาและเปลี่ยนวิถีชีวิตมนุษย์อยู่เสมอ ดังนั้น การเรียนรู้และเท่าทันเทคโนโลยีจะสามารถทำให้รู้เรื่องราวได้กว้างมากขึ้นกว่าที่เป็นอยู่ได้อย่างแน่นอน
 

 

วันพฤหัสบดีที่ 6 สิงหาคม พ.ศ. 2563

วิวัฒนาการการกำเนิดของมนุษย์

 

มนุษย์กำเนิดมาจากไหนกันนะ?

          การเกิดขึ้นของมนุษย์เรานั้นมีวิวัฒนาการในการกำเนิดและมีกระบวนการที่นำมาสู่มนุษย์ในยุคปัจจุบัน โดยมีต้นกำเนิดของเผ่าพันธุ์มนุษย์ในแถบแอฟริกาก่อนจะกระจายไปยังที่ต่าง ๆ ทั่วโลก มีการปรับเปลี่ยนรูปร่าง หน้าตา ตามสภาพแวดล้อมที่ได้ไปอาศัยอยู่ และมีอยู่มากมายหลายสายพันธุ์ แต่เราสามารถแบ่งพัฒนาการและมนุษย์กลุ่มหลัก ๆ ได้ออกเป็นทั้งหมด 4 กลุ่ม ดังนี้

มนุษย์ในแต่ละกลุ่มในโลกนี้ 4 พัฒนาการ

- มนุษย์ Austropithecine เป็นมนุษย์ที่ยืนตัวตรงปรากฏในแอฟริกาเมื่อ 4-5 ล้านปีมาแล้วมีสมองเป็น 1ใน3 ของมนุษย์ในปัจจุบัน

- Habilis มนุษย์ Handy man ปรากฏในแอฟริกาเมื่อ 2-4 ล้านปีมาแล้วมีสมองขนาดครึ่งหนึ่งของมนุษย์ในปัจจุบัน

- Erectus มนุษย์ตัวตรง เริ่มต้น 1-2 ล้านปีมาแล้วเริ่มมีการใช้เครื่องมือหินรู้จักการใช้ไฟเพราะอาศัยอยู่ในแดนหนาว

- Hono Sapiens (wise man) มนุษย์ฉลาดเกิดในแอฟริกาเมื่อ 200,000 ปีมาแล้วเป็นกลุ่มมนุษย์ที่เหมือนคนปัจจุบันที่สุดและสร้างไฟเก่งกว่าerctus

และจากที่กล่าวไปข้างตันมีมนุษย์ที่เดินทางเข้าสู่ทวีปเอเชียซึ่งมีอยู่ด้วยกัน 2 กลุ่ม คือ Homo Erectus และ Sepiens ซึ่งนั้นก็คือ มนุษย์ปักกิ่งและชวามนุษย์ทั้งสองเป็นมนุษย์ในกลุ่ม Homo erectus 

- มนุษย์ปักกิ่งขุดค้นพบครั้งแรกในปี 1923 ในถ้ำใกล้หมู่บ้านโจวโค่วเดียน ในตอนนั้นเป็นช่วงสงครามโลกจึงทำให้ฟอสซิลหายไปเป็นจำนวนมากทำให้เราสูญเสียข้อมูลที่มีค่าเกี่ยวกับมนุษย์ปักกิ่งไป แต่จากการค้นคว้านั้นจึงทำให้ทราบว่ามนุษย์ปักกิ่งนี้เป็นบรรพบุรุษมนุษย์ที่อาศัยอาศัยอยู่ในประเทศจีนประมาณ 200,000 ถึง 750,000ปีก่อนที่รู้จักการใช้ไฟ ใช้หอก เจาะรูวัสดุ

รูปภาพจาก https://mint125.wordpress.com/2011/07/24/%E0%B8%8B%E0%B8%B2%E0%B8%81%E0%B8%A1%E0%B8%99%E0%B8%B8%E0%B8%A9%E0%B8%A2%E0%B9%8C%E0%B8%9B%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%81%E0%B8%B4%E0%B9%88%E0%B8%87/
รูปภาพจาก https://mint125.wordpress.com87/

- มนุษย์ชวา (Java man) เป็นมนุษย์ดึกดำบรรพ์ยุคแรกที่ค้นพบที่เกาะชวาอินโดนีเซียเมื่อปี 1891-1892 โดยทีมขุดค้นชาวฝรั่งเศสพบกระดูกฟัน กะโหลกศีรษะและกระดูกต้นขาในแถวๆโซนแม่น้ำตะวันออก

รูปภาพจาก https://www.facebook.com/sararueaipueai/posts/1385604384906441/

เมื่อเราทราบถึงที่มาของและวิวัฒนาการของมนุษย์ในยุคต่าง ๆ แล้วนั้น สิ่งที่น่าสนใจอีกประการของมนุษย์คือ การดำรงอยู่ในแต่ละยุคของมนุษย์มีการปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตและดำรงชีวิตอย่างไร อะไรคือความแตกต่างในแต่ละยุค โดยเราสามารถกล่าวได้ว่า

- มนุษย์ยุคหินเก่า จะมีวิถีชีวิตและดำรงชีวิตโดยการล่าสัตว์ มนุษย์ยุคหินเก่ามักจะอพยพย้ายถิ่นฐานตามสัตว์ไปเรื่อย ๆ กล่าวได้ว่าอารยธรรมต่าง ๆ ของมนุษย์ในยุคนี้ไม่ค่อยเจริญมากนักเพราะมักจะมีการต่อสู้กันระหว่างชนเผ่าเพื่อความอยู่รอดและล่าสัตว์เพื่อดำรงชีวิตแต่ลักษณะการดำรงชีวิตแบบนี้ทำให้มนุษย์ในยุคนี้รู้จักการพัฒนาเครื่องมือในการล่าสัตว์ มีการใช้อาวุธทำด้วยหิน อย่างหอก และในยุคหินเก่านี้มีการอยู่รวมกันเป็นครอบครัวแล้วแต่ยังไม่เป็นชุมชน

- มนุษย์ยุคหินใหม่ จะเป็นยุคของการทำการเกษตร ปลูกพืชไว้เป็นอาหารมักตั้งถิ่นฐานอยู่บริเวณใกล้ ๆ กับแม่น้ำและตั้งตัวอาศัยอยู่กันเป็นชุมชนแล้วไม่เร่รอนเป็นการปรับตัวให้เข้ากับสิ่งแวดล้อมและข้อจำกัดของถิ่นที่อยู่อาศัยโดยไม่ต้องเร่ร่อน

จากที่กล่าวมาทำให้เราได้ทราบว่าการเรียนรู้เกี่ยวกับมนุษย์นั้นสำคัญเพราะทำให้เราเข้าใจได้และค้นพบว่ามนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่รู้จักถึงการปรับตัวให้เข้ากับธรรมชาติและวิวัฒนาการในการเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ ทำให้การศึกษาในเรื่องราวเกี่ยวกับมนุษย์จึงเป็นการศึกษาที่ไม่มีวันสิ้นสุดและมีสิ่งใหม่ให้เรียนรู้เสมอ




วันพฤหัสบดีที่ 5 มีนาคม พ.ศ. 2563

WAT RATCHABURANA

https://thailandtourismdirectory.go.th/th/info/attraction/detail/itemid/1455
Wat Ratchaburana, “the temple of Royal Restoration”

      Wat Ratchaburana, which translates to “the temple of Royal Restoration” was built in 1424 by King Borommarachathirat II as a memorial to his two elder brothers. It is located on the historical island near Wat Mahathat.
     When it was constructed it was accessible by boat as it was on the banks of a canal, that has been filled up about a century ago.
History of Wat Ratchaburana
    When King Intharacha I died his two eldest sons fought each other to be the next King. As both died the King’s third son Prince Sam Phraya ascended the throne. The Prince built Wat Ratchaburana on the spot where his two older brothers were cremated. Two chedis were erected on the spot where the princes died. The temple was largely destroyed and looted during the Burmese invasion of 1767.
Treasures from the temple crypt
     In 1957 the crypt of the Wat Ratchaburana was looted and many precious artifacts as votive tablets, golden Royal regalia, gems and Buddha images were stolen. The thieves were caught and some of the treasures were recovered. A year later the Fine Arts Department started excavation and restoration of the temple. Many more priceless objects were discovered that are now exhibited at the nearby Chao Sam Phraya National Museum.
Architecture of the Wat Ratchaburana
     Wat Ratchaburana was built following Khmer design concepts. Its design resembles the early mountain temples of Angkor. The monastery faces East, the direction of the rising sun. The temple’s center is a large Khmer style prang symbolizing Mount Meru, the center of the universe in Buddhist and Hindu cosmology. The prang is surrounded by four smaller towers, in turn surrounded by a gallery enclosing a courtyard. Much later an ordination hall (ubosot) and a large assembly hall (viharn) were added. The viharn’s walls are still standing, its wooden roof has long gone.
Khmer style prang
       At the center of the temple stands a large corncob shaped prang on an elevated platform. Some of the fine stucco ornamentation is still visible as well as sculptings of mythical creatures as Garudas and multi headed Naga snakes. On the East side is a steep stairway leading to the crypt where relics were discovered that are now exhibited in the nearby Chao Sam Phraya National Museum. The main prang has been restored by the Fine Arts Department.
Subsidiary chedis and viharns
Around the main buildings is a large number of chedis in various styles and states of preservation as well as several subsidiary viharns.
Opening hours
Wat Ratchaburana opens daily from 8 am until 5 pm.
Entrance fees
Entrance fee is 50 Baht per person.
Reference Data from